ประวัติของหมอสมหมาย ทองประเสริฐ
หมอสมหมาย เป็นคนสิงห์บุรีโดยกำเนิด เกิดเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2464 ปัจจุบันอายุ 90 ปีแล้ว คุณพ่อคุณแม่มีบุตรธิดารวม 7 คน โดยผมเป็นคนที่ 5 คุณพ่อคือนายกิมซิด คุณแม่นางพิมเสน ทองประเสริฐ พี่ชายคนโตของผม ชื่อศาสตราจารย์พันตรีนายแพทย์ประจักษ์ ทองประเสริฐ เป็นอดีตผู้อำนวยการโรงพยาบาลศิริราช พี่ชายคนที่สองชื่อนายหงวน ทองประสริฐ เป็นลูกศิษย์ท่านปรีดี พนมยงค์ พี่สาวคนที่สามและที่สี่แต่งงานเป็นแม่บ้าน ส่วนผมซึ่งเป็นบุตรคนที่ห้า เข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ ตั้งแต่เด็ก พ.ศ.2471 ที่โรงเรียนประจำเซนต์ปีเตอร์ ซึ่งอยู่ตรงตึกซิงเกอร์ สี่-พระยาในปัจจุบัน น้องสาวคนที่หกยังมีชีวิตอยู่ส่วนน้องชายคนที่เจ็ดเป็นนายทหาร จบการศึกษาจากโรงเรียนวชิราวุธ ปัจจุบันมีพี่น้องที่ยังมีชีวิตอยู่เพียงสามคน คือพี่สาวคนที่สามอายุ 95 ปี ผมอายุ 90 ปีและน้องสาวอายุ 84 ปีนอกนั้นเสียชีวิตหมดแล้ว
ในวัยของการศึกษา
ครอบครัวของผมสนับสนุนการศึกษาเฉพาะผู้ชายส่วนลูกผู้หญิงไม่ส่งเสียให้เล่าเรียน พี่ชายของผมนับว่าได้เป็นชาวสิงห์บุรีคนแรกที่เข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ ได้ทุนของร็อกกี้ เฟลเรอร์ ไปเรียนต่อที่ยอห์นฮอสปิตัส ประเทศอเมริกา ส่วนผมสำเร็จเภสัชศาสตร์บัณฑิตสมัยเด็กศึกษาที่ ร.ร. เซนต์ปีเตอร์ ในปี พ.ศ. 2471 และจบ ม.5 ในปี พ.ศ. 2478 สมัยที่ผมเรียนนั้น การศึกษายังมีระดับชั้น ม. 8 อยู่ ไม่ได้มีเตรียมอุดมศึกษาเหมือนสมัยนี้ หลังจากจบชั้น ม.5 ร.ร. เซนต์ปีเตอร์ ก็มาศึกษาต่อที่ ร.ร. อำนวยศิลป์ ปากครองตลาดจนจบ ม.8 ซึ่งเป็นรุ่นสุดท้าย หลังจากนั้นก็เปลี่ยนเป็นเตรียมอุดมซึ่งคุณชอุ่ม ปัญจพรรค์ เป็นนักเรียนเตรียมอุดมหมายเลข 1
จิตใต้สำนึก “ชีวิตคือ ธรรมชาติ”
อีกประการหนึ่ง ผมมีจิตสำนึกอยู่เสมอว่าในโลกนี้ธรรมชาติทำให้เกิดโลก แล้วธรรมชาติต้องมียาแก้โรคให้ด้วย เช่น การใช้ซิงโคน่า(Cinchona) รักษาโรคมาเลเรีย ใบดิจิตาลีส ( Digitalis) รักษาโรคหัวใจในสัตว์ เช่น แมว สุนัข ไม่สบายก็จะไปเที่ยวหาต้นหญ้ากิน พออาเจียนแล้วก็หาย นั่นคือการรักษาสมดุลทางธรรมชาติ แต่มนุษย์เราโดยเฉพาะการแพทย์ทางตะวันตกไม่ค่อยคิดเรื่องนี้ พยายามค้นคว้าไปทางเคมีเป็นส่วนมาก
ผมเข้าศึกษาต่อที่คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยโดยมีพี่ชายเป็นคนส่งเสียให้เล่าเรียน ผมสำเร็จคณะเภสัชศาสตร์ได้เหรียญทองและเป็นอาจารย์ที่เภสัชศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตามกฎได้ 1 ปี ก็ออกมาศึกษาแพทย์ต่อที่ศิริราช สมัยนั้นหากจะเรียนแพทย์ต้องเรียนที่ศิริราชแห่งเดียวเท่านั้น ที่อื่นยังไม่มีการเรียนการสอน ในคณะเรียนผมก็ใช้ความรู้ทางเภสัชฯ ไปทำงานร้านขายยา เพื่อส่งเสียตัวเองเรียนแพทย์จนกระทั่งผมจบการศึกษาในปี พ.ศ. 2494 ที่จริงแล้ว ผมคุ้นเคยกับโรงพยาบาลศิริราชมาตั้งแต่เด็กเนื่องจากตอนอายุเพียง 7-8 ปี เวลาเปิดเทอมผมก็จะมาอยู่กับพี่ชายที่ศิริราช ส่วนมากจะไปอยู่กับพวกพี่ๆพยาบาล เพราะพี่ชายต้องทำงาน สมัยเมื่อ พ.ศ. 2471 นั้น ศิริราชยังเป็นป่าอยู่เลยมีตึกเพียง 5 ตึก มีโรงกระโจมใช้ผ้าขึงเป็นห้องผ่าตัด
สมัยเมื่อผมเรียนแพทย์ศิริราชอยู่ปี 3 ปี 4 จนกระทั่งสำเร็จการศึกษา และทำงานเป็นแพทย์ประจำบ้านแผนกศัลยกรรมอยู่ที่ศิริราชนั้นผมสนใจเรื่องการศึกษามะเร็งมากเพราะการศึกษาโรคอื่นๆ ทางศัยลกรรมสามารถรักษาให้หายได้ง่าย แต่การรักษามะเร็งนั้นยากมาก ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัดหรือฉายรังสีก็ดี
เนื่องจากผมสำเร็จเภสัชศาสตร์บัณฑิตก่อนมาเรียนแพทย์ ผมจึงมีความคิดว่าน่าจะค้นคว้าหาสมุนไพรมาช่วยในการรักษามะเร็งบ้าง แต่ในขณะนั้นผมเป็นลูกน้องไม่สามารถที่พูดเสนอความคิดได้
เมื่อสำเร็จการศึกษาจากศิริราช แล้วด้วยความที่เป็นคนชอบทดลอง ผมมาอยู่สถานเสาวภา 1 ปี ก็อยากทดลองเรื่องวัคซีนกับเซรุ่มในการรักษาโรคพิษสุนัขบ้า พอครบปีก็กลับมาเป็นศัลยแพทย์ที่ศิริราช เป็นศัลยแพทย์ได้สองปี สมัยนั้นไม่มีตำแหน่งให้ต้องเป็นลูกจ้าง ผมเป็นลูกจ้างรับเงินเดือน เดือนละ 700 บาท ( สมัยนั้นทองบาทละ 60บาท )
หลังจากจบการศึกษาแพทย์
หลังจากจบการศึกษา ผมตั้งใจว่าจะกลับไปอยู่สิงห์บุรีเพราะแม่ของผมอยู่ที่นั้นตามลำพัง แม่ก็อายุมากแล้วไม่มีใครคอยดูแล เนื่องจากพ่อเสียชีวิตตั้งแต่ปี พ.ศ. 2478 ดังนั้นเมื่อผมทำงานที่ศิริราชครบ 2 ปี อีกทั้งตัวเองอยากได้ตำแหน่งประจำเพราะสมัยนั้นหาตำแหน่งประจำอยากเหลือเกิน มีตำแหน่งประจำก็เป็นแผนกกระดูกซึ่งผมไม่ต้องการ
วันหนึ่งขณะผมเดินทางกลับจากศิริราช ผมได้พบกับรุ่นพี่ที่ท่าน้ำ ชื่อหมออุทัย ศรีอรุณ ( ภายหลังได้รับตำแหน่งพลตำรวจโทและเป็นจเรตำรวจ ) เขาถามว่าผมจะไปไหน ผมก็บอกว่าผมจะกลับไปเอาตำแหน่งหมอกระดูกที่ศิริราช เขาจึงออกปากว่าอยากให้ผมไปช่วยที่โรงพยาบาลตำรวจ ถ้าวันนั้นผมกลับไปเป็นหมอกระดูกที่ศิริราช ผมคงเกษียณอายุแค่ 60 ปี ไม่ได้มาเป็นหมอรักษามะเร็งในปัจจุบันนี้
หมอสมหมาย ผู้เริ่มต้นโรงพยาบาลตำรวจ
เมื่อไปถึงโรงพยาบาลตำรวจ ผมจึงได้พบว่าที่นั้นไม่มีความพร้อมอะไรเลย ผมต้องจัดเตรียมบรรดาเครื่องไม้ เครื่องมือ จนสามารถผ่าตัดคนไข้ได้เอง สมัยนั้นโรงพยาบาลตำรวจเป็นเพียงโรงพยาบาลในแผนกตำรวจ ผมทำงานจนกระทั้งได้ติดยศเป็นร้อยตำรวจเอกก็ได้ทราบข่าวว่าสิงห์บุรี กำลังสร้างโรงพยาบาล ผมจึงบอกหัวหน้าแผนกว่าจะขอย้ายไปโรงพยาบาลสิงห์บุรี หากโรงพยาบาลสิงห์บุรีสร้างเสร็จ หัวหน้าผมไม่อนุญาต ท่านบอกว่า “ลื้อมาอยู่ที่นี่ไม่กี่เดือน สร้างความเจริญให้กับโรงพยาบาลตำรวจ ได้ผ่าตัดได้ ทำอะไรมากมาย ไม่อนุญาตให้ไปหรอก” เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนั้น แต่ความต้องการที่จะอยากกลับไปทำงานที่โรงพยาบาลบ้านเกิดมากกว่าในเดือนธันวาคมของปีนั้นผมจึงเขียนจดหมายลาออกทิ้งไว้แล้วจากไปอยู่ที่สิงห์บุรีโดยไม่ได้ร่ำลาผู้ใด