กลับไปยังบล็อก

ขั้นตอนการผลิต สมุนไพร G-HERB Capsule 1

โดยใช้หลักการ Spray Dryering Method

     การทำแห้งแบบพ่นฝอยเป็นเทคนิคที่ใช้เพื่อระเหยน้ำออกจากของเหลวอย่างรวดเร็วโดยอากาศร้อน กระบวนการนี้ประกอบไปด้วยการพ่นของเหลว (feed) ออกมาจนเป็นละอองขนาดเล็ก เข้าผสมกับอากาศร้อนที่ไหลผ่านอย่างรวดเร็ว ทำให้น้ำที่อยู่ในละอองของเหลวระเหยไปทั้งหมด และได้ผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในรูปของผงแห้ง สำหรับกระบวนการทำแห้งให้กับ feed นั้น จะเริ่มทำตั้งแต่ใส่ feed ลงในเครื่อง แล้วรอจน feed มีความชื้นในระดับที่เหมาะสมต่อการฉีดให้ออกมาเป็นละออง จากนั้นจึงแยกผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการทำแห้งออกมา สำหรับตัวอย่างของเหลวที่นำมาทำแห้งนั้นสามารถใช้ได้ทั้งที่เป็น ตัวทำละลาย สารประเภท emulsion หรือสารแขวนลอยก็ได้ ส่วนเครื่องมือที่ใช้สำหรับกระบวนการทำแห้งแบบพ่นฝอยคือเครื่องทำแห้งแบบพ่นฝอย (Spray Dryer)

 

การทำงานของเครื่อง Spray Dryer

     เริ่มจากอากาศจะถูกดูดผ่านตัวกรองและผ่านตัวให้ความร้อน จากนั้นจึงเข้าสู่ห้องอบแห้ง ( drying chamber) ส่วนตัวอย่างของเหลว (feed) ที่นำมาฉีด ควรมีลักษณะเหลว และไม่ข้นมาก จากนั้นของเหลวจะถูกดูดโดยปั๊มผ่านอุปกรณ์ที่ทำให้เกิดละอองฝอยคือ atomizer ภายในห้องอบ เมื่อละอองสัมผัสกับอากาศร้อนจะทำให้เกิดการระเหยของน้ำอย่างรวดเร็ว และจะได้ผงของผลิตภัณฑ์ตกลงสู่ด้านล่างของ drying chamber ผงบางส่วนที่หลุดออกมากับอากาศจะถูกแยกโดยใช้ cyclone ซึ่งจะรวมเข้าเป็นผลิตภัณฑ์รวมในที่สุด ผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพทั่วไป สามารถนำไปรับประทานได้เองที่บ้าน หรือที่อื่นๆ โดยสรรพคุณของยาแคปซูลเหมือนกับยาต้มทุกประการ

     ✔ ถูกต้องตามมาตรฐาน GMP 

     ✔ ผ่านการขึ้นทะเบียนยา และ อย.

     ✔ ปลอดภัย 100% ไม่มีสารตกค้าง ไม่เป็นอันตรายสุขภาพ

     เหมาะสำหรับ ผู้ป่วย และผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพทั่วไป สามารถนำไปรับประทานได้เองที่บ้าน หรือที่อื่นๆ โดยสรรพคุณของยาแคปซูลเหมือนกับยาต้มทุกประการ

 

 

s__29278212.jpg

13659033_661594463988621_9048397195309742698_n.jpg

13509083_661594480655286_3525891414763674845_n.jpg timeline_25600610_222734.jpg

 

“หมอเทวดาผู้รักษามะเร็งรอด”

ตอนที่ 1 *** กำเนิดหมอเทวดา ***


     จากที่ได้บอกเล่าเรื่องราวของครูแพทย์แผนไทยกันมาแล้ว 2 ท่าน บทความชุดนี้ ใครไม่ป่วยยกมือขึ้น ขอนำเสนอเรื่องราวของผู้ที่มีความสำคัญอย่างมากต่อการแพทย์แผนไทยอีกท่านหนึ่ง แม้ว่าจะไม่ใช่ผู้ที่คิดค้นสูตรยาสมุนไพรขึ้นเอง แต่ก็เป็นผู้ที่บุกเบิก ค้นคว้า ทดลองนำสูตรยาสมุนไพรมาใช้เพื่อรักษาโรคที่ได้ชื่อว่าร้ายกาจอย่าง “มะเร็ง” จนชื่อเสียงของท่าน เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง  ไม่ต้องบอกก็คงจะเดาได้ว่าท่านคือ “นายแพทย์สมหมาย ทองประเสริฐ” ผู้ที่ได้รับฉายาว่า “หมอเทวดา ผู้รักษามะเร็งรอด”

     ถ้าขับรถผ่านถนนสายสิงห์บุรี-อ่างทอง-ชัยนาท เมื่อถึงตลาดปลาสดเทศบาล ถัดไปจะเห็นบ้านไม้สักหลังใหญ่ที่เปิดเป็นคลินิกแพทย์รักษาผู้ป่วยทั่วไป พร้อมกันนั้น  “หมอสมหมาย” หรือ “นายแพทย์สมหมาย ทองประเสริฐ”  เจ้าของบ้าน ยังรับรักษาโรคมะเร็งด้วยการใช้ยาสมุนไพรต้มควบคู่กับวิธีทางการแพทย์แผนปัจจุบันอีกด้วย

     “นายแพทย์สมหมาย ทองประเสริฐ” เป็นคนสิงห์บุรีโดยกำเนิด พี่ชายคนโตของท่านเป็นอดีตผู้อำนวยการโรงพยาบาลศิริราช ในวัยเด็กเมื่อถึงเวลาปิดเทอม พี่ชายก็จะพา ด.ช.สมหมายมาเที่ยวเล่นที่โรงพยาบาลด้วยเสมอ ท่านจึงคุ้นเคยกับศิริราชมาตั้งแต่เล็กๆ ตั้งแต่เมื่อครั้งที่ศิริราชยังเป็นป่า มีตึกเพียง 5 ตึก และยังใช้โรงกระโจมขึงผ้าเป็นห้องทำคลอด

     ด้วยความที่ หมอสมหมาย มีความชื่นชอบในวิชาการแพทย์เป็นทุนเดิม จึงเลือกเรียนในคณะเภสัชศาสตร์ก่อน โดยมีพี่ชายเป็นผู้อุปถัมภ์ ส่งเสียกระทั่งสำเร็จการศึกษาเภสัชศาสตร์บัณฑิตได้รางวัลเหรียญทอง หลังจากจบการศึกษา หมอสมหมายได้เข้าทำงานเป็นอาจารย์ที่คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอยู่ 1 ปี จึงได้ออกมาศึกษาแพทย์ต่อที่ศิริราช ในสมัยนั้นหากใครต้องการเรียนแพทย์ ต้องเรียนที่ศิริราชเท่านั้น เพราะที่อื่นยังไม่มีการเปิดสอนวิชานี้

      หมอสมหมาย เลือกทำงานเป็นเภสัชกรประจำร้านขายยา เพื่อส่งตัวเองเรียนจนจบได้เป็นแพทย์ศาสตร์บัณฑิต ในปี พ.ศ. 2494 หลังจากนั้น  “นายแพทย์สมหมาย ทองประเสริฐ” หรือ “หมอสมหมาย”ก็ได้กลับมาทำงานเป็นแพทย์ประจำแผนกศัลยกรรมอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช ตั้งแต่เริ่มทำงาน หมอสมหมายก็มีความสนใจในเรื่องการรักษาโรคมะเร็งมากกว่าโรคอื่นๆ เพราะโรคทางศัลยกรรมโรคอื่นๆ นั้นสามารถรักษาหายได้ง่าย แต่การรักษาโรคมะเร็งนั้นยากมาก

     และเนื่องจากท่านเรียนจบเภสัชศาสตร์ก่อนที่จะมาเรียนแพทย์ จึงเกิดความคิดว่าน่าจะลองค้นคว้าวิจัยสมุนไพรมาช่วยในการรักษาโรคมะเร็งบ้างและอีกประการหนึ่ง ท่านก็มีความเชื่ออยู่เสมอว่า ธรรมชาติทำให้เกิดโรค ดังนั้น ธรรมชาติก็ต้องมีตัวยาแก้โรคให้ด้วยเช่นกัน 

------------------------------------------------------------------------------------------


ตอนที่ 2 *** คุณหมอทรหด ***


     หลังจากเรียนจบ ความตั้งใจเดิมของหมอสมหมาย คือการกลับไปทำงานที่บ้านเกิดจังหวัดสิงห์บุรี เนื่องจากคุณแม่อายุมากแล้วไม่มีใครคอยดูแล  แต่เมื่อทำงานที่ศิริราชได้ 2 ปีก็ได้บังเอิญพบเพื่อนรุ่นพี่ที่เป็นตำรวจ และเพื่อนก็ขอร้องให้ไปช่วยงานที่โรงพยาบาลตำรวจ จึงตอบตกลง

     เมื่อหมอสมหมาย เดินทางมาถึงโรงพยาบาลตำรวจก็พบว่าที่นั่นยังไม่มีความพร้อมอะไรเลย ท่านต้องเข้าไปบุกเบิกจัดหาบรรดาเครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆ เองจนสามารถทำการผ่าตัดได้  หมอสมหมายประจำอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจจนกระทั่งได้ติดยศเป็นร้อยตำรวจเอก วันหนึ่งได้ทราบข่าวว่าจังหวัดสิงห์บุรีกำลังสร้างโรงพยาบาลประจำจังหวัด จึงแจ้งความประสงค์ต่อหัวหน้าแผนกที่ประจำอยู่ในโรงพยาบาลตำรวจว่า หากโรงพยาบาลสิงห์บุรีสร้างเสร็จจะขอย้ายไปประจำที่นั่น แต่ไม่ได้รับอนุญาตเพราะหมอสมหมายมาอยู่โรงพยาบาลตำรวจเพียงไม่นานก็สร้างความก้าวหน้าให้โรงพยาบาลได้มากมาย  เมื่อเป็นเช่นนั้น หมอสมหมายจึงเขียนใบลาออกทิ้งไว้แล้วกลับสิงห์บุรีโดยไม่ได้ร่ำลาใคร

“ผ่าตัดกลางทุ่ง”

     โรงพยาบาลสิงห์บุรี ในยุคนั้นยังขาดความพร้อมในทุกๆ ด้าน ทำให้หมอสมหมายมีประสบการณ์ในการรักษาคนไข้แบบชวนระทึกมากมาย อย่างในกรณีหนึ่ง มีนายตำรวจได้รับบาดเจ็บถูกผู้ร้ายแทงเข้ากระเพาะอาหารแล้วเลือดตกใน เพื่อนตำรวจพามาพบหมอตอน 5 โมงเย็น หลังโดนแทงถึง 4 ชั่วโมง  จะนำส่งโรงพยาบาลที่มีความพร้อมซึ่งอยู่ในตัวจังหวัดลพบุรีก็ไม่ทัน

     หมอสมหมาย จึงบอกกับคนไข้และญาติว่าต้องเสี่ยงผ่าตัดกันตรงนี้ (กระท่อมกลางทุ่งนา) และเดี๋ยวนี้ เมื่อญาติและคนไข้ตกลง เตียงชั่วคราวจากไม้อัดและอุปกรณ์ผ่าตัดอันได้แก่ ยาดมสลบที่ขอมาจากอนามัยจังหวัด , ยอดไม้ไผ่เหลาสำหรับแขวนน้ำเกลือ , เหล่าเถื่อนสำหรับล้างมือและอุปกรณ์ผ่าตัด , ทิงเจอร์ไอโอดีน , เครื่องมือทำหมันชาย , และด้ายหลอดตราสมอสำหรับเย็บลำไส้และแผล (เพราะไม่มีไหมเย็บ) ก็ถูกจัดเตรียมขึ้น

     กว่าจะพร้อมผ่าตัดจริงก็เป็นเวลาประมาณ 2 ทุ่ม โชคดีที่ได้พยาบาลตำรวจมาช่วยแต่ก็ต้องใช้แสงสว่างจากตะเกียงเจ้าพายุแทนไฟห้องผ่าตัด และใช้ไฟฉายส่องแผลเอา ผ่าตัดไปก็คอยหยิบแมลงที่มาเล่นไฟออกจากแผลไป แต่ผลการผ่าตัดก็เป็นไปได้ด้วยดี คนไข้ปลอดภัย หายเป็นปกติ ทำให้หมอสมหมายมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วจังหวัดสิงห์บุรีและจังหวัดใกล้เคียง

“คลอดทรหด”

     วันอาทิตย์วันหนึ่งเวลาประมาณ 9 โมงเช้า หมอสมหมายได้รับแจ้งจากหัวหน้าประตูน้ำยางมณีในจังหวัดอ่างทองว่าภรรยาคลอดลูกไม่ได้ หมอตำแย หมอชาวบ้านก็หมดปัญญา และร้องขอให้ท่านไปช่วยโดยจะนำเรื่อมารับที่อำเภอบางระจัน  ขณะนั้นโรพยาบาลสิงห์บุรีเปิดทำการแล้ว เครื่องไม้เครื่องมือต่างพอจะพร้อมอยู่ หมอสมหมายจึงรับปากและให้ญาติคนไข้ช่วยต่อโต๊ะผ่าตัดไว้รอ

     หลังจากเตรียมเครื่องมือครบพร้อมพยาบาลผู้ช่วย 1 คน หมอสมหมายก็ปั่นจักรยานกันไปคนละคัน โดยผูกเครื่องมือไว้ด้านท้ายรถ ทางที่ใช้นั้นก็เป็นทางลูกรังตลอดเส้น ยาวประมาณ 10 กิโลเมตร เป็นการทำงานที่ทุลักทุเลและพาให้ระทึกอีกครั้งหนึ่งในชีวิตของท่าน  เมื่อไปถึงพบว่าน้ำคร่ำของแม่แตกมา 2 วันแล้วจึงต้องรีบผ่าตัดเอาเด็กออก ขณะที่ผ่าตัดนั้น ที่บ้านคนไข้ไม่มีพัดลม ต้องให้ญาติมาช่วยกันพัดรอบๆ เตียงเพื่อคลายความร้อนและไล่แมลงวัน จนกระทั่งผ่าเสร็จ ผลออกมาปลอดภัยทั้งแม่และลูก

     ทั้ง 2 เหตุการณ์ที่ประสบมาก นับเป็นสิ่งที่ยากยิ่ง ทำให้หมอสมหมายและผู้ร่วมงานรู้สึกปลื้มใจและภูมิใจเป็นอย่างมาก ท่านกล่าวว่า “ผมเชื่อว่า..แพทย์สมัยนี้คงไม่มีโอกาสแบบผมอีกแล้ว”

------------------------------------------------------------------------------------------

ตอนที่ 3 *** ค้นพบสมุนไพรรักษามะเร็งรอด ***


     ขณะปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลสิงห์บุรี หมอสมหมายก็เริ่มเสาะหายาสมุนไพรที่จะช่วยในการรักษาโรคมะเร็งได้ ในขณะนั้นคนกำลังฮือฮาเรื่องทองพันชั่งรักษามะเร็งกันมาก เมื่อมีคนไข้เป็นมะเร็งมา ท่านจึงทดลองใช้ทองพันชั่งต้มให้คนไข้กินอยู่หลายคน  แต่ก็ปรากฏว่าไม่ได้ผลแต่อย่างใด

     จนกระทั่งวันหนึ่ง ด้วยความที่หมอสมหมายเป็นนักสะสมปุ่มไม้ ท่านจึงขับรถเที่ยวไปเรื่อยๆ เพื่อเสาะหาปุ่มไม้ชนิดต่างๆ จนไปถึงอำเภอวิเชียรบุรี ได้พบกับชายผู้หนึ่งที่มีปุ่มไม้ใหญ่สะสมไว้ ตั้งใจจะเข้าไปขอดูกลับพบเจ้าของปุ่มไม้ป่วยอยู่ มีอาการ เหนื่อยหอบ ชายผู้นั้นเล่าว่าเขาเป็นมะเร็งปอด แพทย์ที่ลพบุรีจะส่งตัวไปรักษาที่ศิริราชแต่เขาไม่ไป เพราะที่ใกล้ๆ นี้มีหมอแผนโบราณใช้สมุนไพรรักษามะเร็งหายได้

     คุยกับสักครู่ หมอสมหมายก็ลากลับและลืมไปไม่ได้นึกถึงคนไข้เจ้าของปุ่มไม้รายนี้อีก จนผ่านไป 8 เดือนจึงนึกถึงปุ่มไม้ขึ้นได้และตั้งใจกลับไปที่อำเภอวิเชียรบุรีอีกครั้งเพื่อขอซื้อปุ่มไม้  แต่ก็คิดว่าคงต้องถามซื้อจากภรรยาเอา เพราะเจ้าของปุ่มไม้คงเสียชีวิตแล้ว เมื่อไปถึงกลับพบว่าชายผู้นั้นยังมีชีวิตอยู่ แถมแข็งแรงขึ้นมาก เดินเหินได้คล่องเสียด้วย

     จากเหตุการณ์นี้ก็ยังไม่ทำให้หมอสมหมายสนใจหมอแผนโบราณที่เจ้าของปุ่มไม้เล่าให้ฟัง แต่กลับคิดเอาว่าคนไข้ไม่น่าจะเป็นมะเร็งปอด แพทย์คงวินิจฉัยผิดและไม่ได้สนใจยาสมุนไพรตำรับนี้อีกเช่นเคย

     เวลาผ่านไปถึง 4 ปี จนในปีพ.ศ. 2512  มีพ่อค้าชาวสิงห์บุรีคนหนึ่งรู้จักคุ้นเคยกันดีป่วย หมอสมหมายเดินทางไปเยี่ยมก็พบว่าเขาเป็นมะเร็งที่ลิ้นและเป็นมากแล้ว ร่างกายผอมมาก ที่ลิ้นมีแผลขนาดใหญ่ มีเลือดซึมตลอดเวลาและมีกลิ่นเหม็น ผู้ป่วยเล่าว่ารักษาด้วยด้วยฉายแสงที่โรงพยาบาลในกรุงเทพแล้วอาอาการก็ไม่ดีขึ้นเลย แพทย์บอกว่ารักษาไม่ได้ ทำได้เพียงให้ยาบรรเทาปวดเท่านั้น

     พอได้ฟังอย่างนี้ หมอสมหมายก็นึกถึงเจ้าของปุ่มไม้และยาสมุนไพรต้มขึ้นมาทันที จึงรีบเดินทางไปอำเภอวิเชียรบุรีเพื่อขอสมุนไพรมาทดลองต้มให้ผู้ป่วยดื่ม ผลปรากฏว่ายา 4 หม้อแรกที่ผู้ป่วยรับประทานเป็นเวลา 2 เดือนนั้น ทำให้อาการดีขึ้นเรื่อยๆ แผลค่อยๆ ยุบลง กลิ่นเริ่มลดลง น้ำหนักตัวขึ้น อาการปวดดีขึ้น และผู้ป่วยเริ่มพูดได้

     เห็นผลชัดเจนแล้ว หมอสมหมายจึงไปขอสมุนไพรมาอีก 2 ชุด ทานได้อีก 4 เดือน แผลที่ลิ้นของผู้ป่วยก็เกือบหายเป็นปกติ สามารถทำงาน ไปไหนมาไหนได้เหมือนคนปกติทุกอย่าง หมอสมหมายจึงแนะนำว่าให้ไปผ่าตัดก้อนที่คางและลิ้นออก เพื่อไม่ให้มะเร็งลามขึ้นมาอีก หรือไม่ให้แตกเอง เพราะอาจเป็นอันตรายได้ แต่ครั้งนี้ผู้ป่วยไม่ยอม ในที่สุดผู้ป่วยจึงเสียชีวิตจากการที่ก้อนที่คางนั้นแตกออกจนเสียเลือดมากนั่นเอง

 

------------------------------------------------------------------------------------------


ตอนที่ 4 *** กรณีศึกษา มะเร็งปอด มะเร็งกระดูก มะเร็งกระเพาะอาหาร และ มะเร็งผิวหนัง ***


“มะเร็งปอด”

     บ่ายวันหนึ่งในปี พ.ศ. 2514 ขณะที่หมอสมหมายกำลังยืนดูคนงานสร้างสนามโรงพยาบาลสิงห์บุรีอยู่นั้น ได้สังเกตเห็นคนงานคนหนึ่งเข็นรถนั่งที่มีผู้ป่วยนั่งอยู่ผ่านมา สอบถามดูทราบว่าผู้ป่วยเป็นแม่ของคนงาน มีอาการไอเป็นเลือด จึงมาพาตรวจ เมื่อเอกซเรย์ปอดดูจึงพบว่า ผู้ป่วยเป็นมะเร็งก้อนขนาดเท่าไข่ไก่ที่ขั้วปอด หมอสมหมายสั่งให้คนงานพาแม่กลับบ้านไม่ต้องทำอะไร เดี๋ยวท่านจะรักษาให้เอง

     ผู้ป่วยรายนี้ หมอสมหมายจัดยาสมุนไพรต้มและวิตามินให้ทานและกำชับว่าห้ามทานยาอื่นเด็ดขาด และต้องมารายงานอาการของแม่ให้ทราบทุกวัน เมื่อทานยาได้ 1 เดือนกลับมาเอกซเรย์ปอดดูพบว่า ก้อนมะเร็งหายไป ท่านให้ผู้ป่วยรายนี้ทานยาต้มต่อเนื่องอีก 3 ปีจึงหยุดยา ผลปรากฏว่ามะเร็งไม่กลับมาอีก จนผู้ป่วยอยู่ได้อีก 6 ปีจึงเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุรถชน

“มะเร็งกระดูก”

     ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2515 มีผู้ป่วยมาพบหมอสมหมายด้วยโรคมะเร็งกระดูกที่เข้าซ้าย มีอาการบวมมาก ต้องทานยาแก้ปวดตลอดเวลา ผ่านการผ่าตัดมาแล้วและเดินไม่ได้ ญาติต้องคอยอุ้ม สอบถามลูกชายได้ความว่าผู้ป่วยผ่าตัดเข่ามาจากโรงพยาบาลในกรุงเทพ หมอบอกว่าต้องรักษาด้วยการตัดขาบริเวณเหนือเข่า แต่ก็จะได้เพียงบรรเทาอาการปวดเท่านั้น โรคไม่ได้หายไป ผู้ป่วยจึงไม่ยอม จนเมื่อต้นเดือนที่แล้ว ลูกชายผู้ป่วยไปทำฟัน ทันตแพทย์เป็นคนจังหวัดชัยนาทรู้จักชื่อเสียงหมอสมหมายจึงแนะนำมา

     เมื่อตรวจแล้วเห็นว่าเป็นไม่มาก หมอสมหมายจึงยังไม่สั่งยา แต่ลูกชายผู้ป่วยขอร้องอยากทดลองให้พ่อกินยาดู ท่านจึงจัดยาไปให้ทาน 2 เดือน เมื่อครบกำหนดลูกชายผู้ป่วยก็เดินทางมาพบหมอสมหมายพร้อมผลเอกซเรย์ รายงานว่าพ่อดีขึ้นมากเข่ายุบลงมาก ไม่ต้องทานยาแก้ปวดอีกและเริ่มเดินได้เอง หมอจึงจัดยาไปให้อีก 3 เดือน

     เมื่อครบกำหนดลูกชายผู้ป่วยก็กลับมาพร้อมผลเอกซเรย์อีกครั้ง รายงานว่าเข่าพ่อยุบลงเกือบเป็นปกติ เดินได้ดี ไม่ปวดเลย หมอสมหมายจึงจัดยาไปให้อีก 12 หม้อ จนต้นปี พ.ศ.2516 ลูกชายก็กลับมาอีกครั้งพร้อมรวบรวมผลเอกซเรย์ทั้งหมดมาให้หมอสมหมายดู ผลปรากฏว่า เข่าผู้ป่วยยุบลงเป็นปกติ มีแคลเซียมเข้าไปอยู่ในรูกระดูกที่เคยพรูนจนเป็นปกติ และคนไข้อยู่จนเสียชีวิตด้วยโรคชรา

“มะเร็งกระเพาะอาหาร”

     คนไข้รายนี้เป็นชายชาวสุพรรณบุรี อายุ 56 ปี มาพบหมอสมหมายด้วยอาการซูบผอม อาเจียน เบื่ออาหาร เมื่อคลำดูใต้ลิ้นปี่พบก้อนแข็งเคลื่อนที่ได้ เอกซเรย์พบว่าเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร ด้วยสภาพร่างกายที่ผ่ายผอมและอ่อนเพลียมาก ไม่สามารถทำการผ่าตัดได้ หมอสมหมายจึงประคองอาการด้วยการให้เลือดและน้ำเกลือเพื่อรอให้แข็งแรงขึ้นก่อน พร้อมกับให้ทานยาต้มควบคู่ไปด้วย

รักษาแบบประคองอาการเช่นนี้ 2 เดือนผู้ป่วยก็แข็งแรงพอจะผ่าตัดได้ หลังการผ่าตัดเรียบร้อยท่านจึงสั่งยาต้มให้ผู้ป่วยทานต่อเนื่องอีกประมาณ 3 ปี ผู้ป่วยมีชีวิตปกติแข็งแรงดี อยู่ได้อีก 12 ปี จึงเสียชีวิต

“มะเร็งผิวหนัง”

     ผู้ป่วยหญิงอายุ 50 ปีมาพบหมอสมหมายด้วยอาการแผลเรื้อรังที่ขมับขวา ตรวจพบเป็นมะเร็งผิวหนัง คุณหมอท่านให้ทานยาต้มต่อเนื่องเป็นเวลา 6 เดือนแผลก็แห้งสนิทหรือทิ้งไว้เพียงแผลเป็น หลังจากนั้นจึงทำการผ่าตัดเลาะแผลเป็นออก รายนี้รับประทานสมุนไพรต้มต่อเนื่องอีกประมาณ 3 ปีก็หายสนิท

------------------------------------------------------------------------------------------


 ตอนที่ 5 *** ได้รับการยอมรับจากสากล ***


     ในปี พ.ศ. 2517 มีการประชุมวิชาการทางการแพทย์ของคณะออโธปิติกส์จากกรุงเทพฯ จัดขึ้นที่จังหวัดนครสวรรค์ หมอสมหมายเห็นเป็นโอกาสดีจึงเข้าร่วมประชุมด้วย โดยนำกรณีคนไข้มะเร็งหัวเข่าไปนำเสนอ พร้อมกับขอรายงานเฉพาะผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งหัวเข่าจากที่ประชุม และขอร้องว่าถ้าพบคนไข้ลักษณะนี้อย่าตัดขา ให้ส่งให้ท่านช่วยรักษา แต่ก็ไม่เป็นผล ทางโรงพยาบาลในกรุงเทพฯ ไม่เคยส่งผู้ป่วยให้ท่านเลย

     เมื่อแพทย์ไทยไม่สนใจ หมอสมหมายจึงเขียนจดหมายไปหาดอกเตอร์แชงค์ ไดเรกเตอร์ทอกซิโคโลยีของรัฐแคลิฟอร์เนีย เล่าว่าพบสมุนไพรตำรับหนึ่ง เพียงให้คนไข้มะเร็งกิน ก็สามารถทำให้มะเร็งฝ่อลงได้ ดอกเตอร์แชงค์สนใจมากติดต่อกลับมาทันทีและนำทีมงานเดินทางมาหาหมอสมหมายถึงจังหวัดสิงห์บุรี

     เมื่อได้เห็นรายงานทั้งหมด ดอกเตอร์แชงค์และคณะต่างให้การยอมรับว่ายาตำรับนี้น่าจะเป็นประโยชน์ในการรักษามะเร็งและขออนุญาตนำตัวยาและตำรับยานี้ไปวิจัยต่อ แต่หมอสมหมายไม่อนุญาต เนื่องจากอยากให้เป็นผลงานของคนไทย จึงเสนอว่าขอให้ดอกเตอร์แชงค์ส่งสารที่ทำให้เกิดมะเร็งเต้านมมาให้แทน แล้วท่านจะทำการวิจัยร่วมกับอาจารย์จากมหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งดอกเตอร์แชงค์ก็ได้ตอบตกลง

     ผลการจากวิจัยพบว่ายาต้มนี้สามารถทำให้ก้อนมะเร็งในหนูทดลองยุบลงได้จริง แต่หลังจากทำวิจัยได้เพียง 3 ปี อาจารย์ที่ร่วมวิจัยก็ต้องไปเรียนต่อต่างประเทศ การวิจัยจึงจำเป็นต้องหยุดลงเพียงเท่านั้น

------------------------------------------------------------------------------------------


 ตอนที่ 6 *** มะเร็ง…ในมุมมองหมอสมหมาย ***

     นายแพทย์สมหมายกล่าวว่า “คำโบราณบอก รู้จักศัตรู รบสิบครั้ง ชนะสิบครั้ง การทำความรู้จักกับมะเร็งเสียก่อน ย่อมทำให้เราห่างไกลจากโรคร้ายนี้ได้มากที่สุด”

มะเร็งเกิดกับส่วนใดได้บ้าง ?

     มี 3 ส่วนในร่างกายเท่านั้นที่ไม่มีวันเป็นมะเร็ง นั่นคือ เล็บ , ผม และฟัน นอกนั้นสามารถเกิดมะเร็งได้ทั้งสิ้น  มะเร็งเป็นความเปลี่ยนแปลงที่นอกเหนือการควบคุมของร่างกาย เกิดจากการกลายสภาพของเซลล์ดีเป็นเซลล์เนื้อร้าย ก่อให้เกิดการทำลายอวัยวะและระบบต่างๆในร่างกาย หลายคนที่เป็นมะเร็งจึงท้อแท้ หมอสมหมายกล่าวกับคนไข้ของท่านเสมอว่า “หากอยากมีชีวิตอยู่ ขอให้ใจสู้และหาทางรักษาชีวิตไว้ให้ได้” เมื่อพบว่าเป็นมะเร็งแล้ว อย่าคิดว่าอับจนหนทาง เพราะขณะนี้ ด้วยตำรับยาที่ท่านพบ ทำให้มีผู้รอดชีวิตมาแล้วมากมาย

สมมติฐานของโรคมะเร็ง

     ร่างกายของเรามีการแบ่งเซลล์อยู่ตลอดเวลา แต่หากการแบ่งเซลล์ในส่วนใดส่วนหนึ่งเกิดผิดพลาด ทำให้เซลล์มีรูปร่างผิดเพี้ยนไป ร่างกายจะถือว่าเซลล์นี้ผิดปกติ ต้องกำจัดทิ้ง

     เปรียบเหมือนเมื่อมีโจรเข้าบ้าน ภูมิคุ้มกันของเราก็จะออกมาจับโจร แต่หากโจรแอบซ่อนอยู่ภูมิคุ้มกันหาไม่พบ มันก็จะเข้าไปเกาะจับเนื้อเยื่อ  เกิดการเจริญเติบโตและรวมกลุ่มกันดักจับแย่งกินอาหารและแร่ธาตุรวมทั้งออกซิเจนจากเซลล์ดีของเรา

     จนเมื่อมีโจรเยอะกว่า เจ้าบ้านก็ต้องพ่ายแพ้ กว่าที่เราจะรู้ตัว ก็เมื่อร่างกายแสดงอาการออกมา เช่น มีก้อนเนื้อหรือแผลเรื้อรัง เมื่อรู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง มักเป็นระยะสุดท้าย ยากต่อการรักษาแล้ว

ปัจจัยก่อมะเร็งและการป้องกัน

     โรคมะเร็งเกิดได้จากปัจจัยเสี่ยงทั้งภายในและภายนอก เช่น การมียีนที่ผิดปกติ สภาพแวดล้อมทางอากาศ การบริโภคอาหาร-เครื่องดื่มที่มีสารก่อมะเร็งอย่างอาหารตัดต่อพันธุกรรม รวมทั้งความเครียด เป็นต้น

     วิธีปราบโจรนั้นเป็นเรื่องยากมาก เราควรเลือกวิธีป้องกันไว้ก่อนจะดีกว่า พึงระลึกไว้เสมอว่า มะเร็ง..สามารถรักษาให้หายได้ เพียงแต่ต้องรู้จักสำรวจและสังเกตความผิดปกติในร่างกายให้เป็น จะได้รู้แต่เนิ่นๆ หากพบสัญญาณเตือนจากร่างกาย เช่น น้ำหนักลดผิดปกติ  มีไฝลักษณะโตผิดปกติ  หรือปวดศรีษะบ่อยๆ เรื้อรัง ก็ควรตรวจให้ทราบสาเหตุของอาการที่แท้จริงตั้งแต่ต้น

     หมอสมหมายกล่าวจากประสบการณ์ที่ผ่านมาว่า  “เราจะเห็นได้ว่ามะเร็งส่วนใหญ่เกิดจากอาหารการกิน คนสมัยก่อนไม่เห็นค่อยป่วยกันเลย เพราะเขาหาผักหาปลาจากธรรมชาติมากิน แต่เดี๋ยวนี้ เรากินปลา หมู ไก่ เป็ด ที่เลี้ยงด้วยอาหารเคมีเร่งโตและยาปฏิชีวนะ และบรรดาอาหารฟาสฟู้ดอุดมสารปรุงแต่งตั้งแต่ สี กลิ่น รส รวมทั้งสารกันรา ยากันบูด เหล่านี้ล้วนมีแต่สารก่อมะเร็งเข้าไปสะสมในร่างกายทั้งสิ้น”

     “ผมเคยเจอเด็กอายุ 14 ปีเป็นมะเร็งตับ สอบถามประวัติการกินก็ทราบว่ากินไก่ตลอด เคล็ดสำคัญของผมที่มอบให้คนไข้นำไปปฏิบัติ จึงให้คนไข้ทุกคนงดเนื้อสัตว์ที่เลี้ยงด้วยอาหารเม็ด หากจะกินควรกินปลาแม่น้ำ ไก่บ้าน หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป กึ่งสำเร็จรูปต่างๆ อาหารที่ทอดด้วยน้ำมันเก่า เหล่านี้แหละเป็นสาเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดมะเร็ง  การปล่อยให้เกิดมะเร็ง ย่อมไม่มีทางที่ร่างกายจะไม่สูญเสียสิ่งใดสิ่งหนึ่งแน่นอน ดังนั้น ดูแลตัวเองตั้งแต่วันนี้ดีกว่าครับ” และนี่คือคำเตือนจาก “หมอเทวดา ผู้รักษามะเร็งรอด”

     เรื่องราวของ “นายแพทย์สมหมาย ทองประเสริฐ” ไม่เพียงแต่จะทำให้เราเห็นถึงความสามารถของท่าน คุณค่าในยาสมุนไพร และภูมิปัญญาที่น่าภาคภูมิใจของบรรพบุรุษไทยเท่านั้น แต่ยังทำให้เราได้เห็นถึงการยอมรับในคุณค่าของสิ่งที่แตกต่างและรู้จักที่จะเลือกนำมาใช้ร่วมกันอย่างเหมาะสม

     อย่างที่คุณหมอซึ่งเป็นแพทย์แผนปัจจุบันยอมรับว่า การรักษาโรคมะเร็งให้ประสบผลสำเร็จนั้น จะต้องอาศัยทั้งวิธีปัจจุบันและยาสมุนไพรควบคู่กันไป หากขาดอย่างใดอย่างหนึ่งอาจทำให้การรักษาไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร การไม่มีอคติ เปิดใจยอมรับและรู้จักผสมผสานทั้ง 2 แนวทางที่แตกต่างของท่านนี้เอง ส่งผลให้เกิดคุณประโยชน์ต่อผู้คนได้มากมาย

ขอขอบพระคุณข้อมูลจาก : หนังสือ “หมอเทวดา ผู้รักษามะเร็งรอด” นายแพทย์สมหมาย ทองประเสริฐ และเว็บไซต์ ของโรคยา โดยหมอแดง

 

มะเร็งต่อมน้ำเหลือง

     "มะเร็งต่อมน้ำเหลือง"

     คือ มะเร็งที่เกิดขึ้นจากเซลล์ของต่อมน้ำเหลืองโดยตรง ส่วนมะเร็งที่ลุกลามจากอวัยวะอื่นแพร่กระจายเข้าต่อมน้ำเหลือง อาจทำให้เกิดอาการต่อมน้ำเหลืองโตได้ แต่ไม่เรียกว่ามะเร็งต่อมน้ำเหลือง แต่จะเรียกตามมะเร็งที่อวัยวะนั้นแพร่กระจายมาที่ต่อมน้ำเหลือง

 

สาเหตุ :

     ความผิดปกติของเซลล์ในร่างกายคนเรานั้นเกิดขึ้นตลอดเวลา แม้ร่างกายจะมีกระบวนการจัดการความผิดปกติที่เกิดขึ้น แต่ถ้าวันใดเกิดจิตตก เครียด วิตกกังวล ปัจจัยเหล่านี้จะทำให้กลไกทางภูมิคุ้มกันลดลง

 

อาการ :

     ส่วนใหญ่ก้อนเนื้อจะขึ้นบริเวณ ไหลปลาร้า คอ ขาหนีบ รักแร้ คอ ขาหนีบ ก้อนเนื้อจะสามารถงอกได้เกือบทุกส่วนของร่างกาย ผู้ป่วยบางรายเป็นไข้ตลอด มีไข้สูงนานเป็นเดือน

 

การตรวจวินิจฉัย :

     โดยตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ดูลักษณะของเซลล์มะเร็ง ย้อมพิเศษตรวจแยกชนิดของมะเร็งต่อมน้ำเหลือง บางครั้งอาจต้องตรวจเนื้อเยื่อด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเล็คตรอน หรือตรวจดีเอนเอ
เมื่อทราบว่าเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองการตรวจขั้นต่อไปคือ การตรวจหาระยะของโรค นิยมตรวจด้วยการเอ็กซ์เรย์คอมพิวเตอร์ของปอดและช่องท้อง
ในปัจจุบันนี้การตรวจเพ็ทสแกน และเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์มีความไว และการจำเพาะในการตรวจรอยโรค และระยะของมะเร็งต่อมน้ำเหลืองได้ดีกว่าเอ็กซเรย์ทั่วไป แต่มีราคาสูงกว่า

 

ลักษณะของผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลือง :

     - มะเร็งต่อมน้ำเหลืองกระจายมาคอ
     - มะเร็งกระจายมาต่อมน้ำเหลืองบริเวณไหลปลาร้า
     - มะเร็งต่อมน้ำเหลืองกระจายมาจากต่อมทอนซิล
    - มะเร็งต่อมน้ำเหลืองในเต้านม

 

วิธีการรักษาโดยแพทย์แผนปัจจุบัน :

     รังสีรักษา ; การฉายแสงรังสีรักษาสามารถควบคุมมะเร็งต่อมน้ำเหลืองได้ดี ทำให้ก้อนมะเร็งยุบได้อย่างรวดเร็ว


     ยาเคมีบำบัด ; มะเร็งต่อมน้ำเหลืองสามารถรักษาให้หายขาดได้ ด้วยยาเคมีบำบัดหลายชนิดร่วมกัน ยาที่นิยมใช้คือสูตรยาช้อป (CHOP) ซึ่งย่อมมาจาก ยาไซโคลฟอสฟาไมด์ ยาเอเดรียมัยซิน ยาออนโควินหรือวินคริสตีน ยาเพร็ดนิโซโลน


    ยาสเตียรอยด์ ; มะเร็งต่อมน้ำเหลืองตอบสนองดีต่อยาสะเตียรอยด์ แต่จะได้ผลดีเมื่อใช้ร่วมกับยาเคมีบำบัด


     การเปลี่ยนไขกระดูก ; การให้ยาเคมีบำบัดขนาดสูงร่วมกับการเปลี่ยนไขกระดูก หรือปลูกถ่ายเซลล์ตัวอ่อนของไขกระดูก ทำให้การตอบสนองต่อยาดีขึ้น

 

การรักษาตามเป้าหมาย :

     ยาแอนติบอดีต่อซีดี 30 ที่ผิวเซลล์มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดบีเซลล์ จัดเป็นยาที่รักษาตามเป้าหมาย สามารถใช้รักษามะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดบีเซลล์ได้ผลดี โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ดื้อยาเคมีบำบัดหรือโรคเป็นซ้ำ ชื่อยาเรทูซิแม็พ
ยาแอนติบอดีติดฉลากสารกัมมันตรังสี ให้การตอบสนองสูงถึงร้อยละ 50-80 เช่น ยาแอนติบอดีต่อซีดี 20 ที่ผิวเซลล์มะเร็งต่อมน้ำเหลืองติดฉลากด้วยสารกัมมันตรังสียิบเทรียม 90 ชื่อยา ไอบริทูโมแม็พ เป็นต้น
     อิมมูนบำบัด : ยาอินเตอเฟียรอนอัลฟ่า ใช้รักษามะเร็งต่อมน้ำเหลืองได้โดยเฉพาะชนิดโฟลิคูลาร์
     ยาเคมีบำบัดชนิดทา : มะเร็งต่อมน้ำเหลืองอาจเกิดที่ผิวหนังได้เรียกว่า โรคลิมโฟมาคิวทิส สามารถรักษาด้วยการฉายแสงรังสีอิเล็คตรอนที่ผิวหนัง รักษาด้วยยาเคมี

**มะเร็งต่อมน้ำเหลืองรักษายากมาก ยุบๆ โผล่ๆ ส่วนใหญ่รักษาโดยยาเคมี ซึ่งมีราคาแพง**

มะเร็งปอด

     เป็นมะเร็งที่พบได้มากในประเทศไทย โดยพบมากเป็นอันดับ 2 ในเพศชาย อันดับ 4 ในเพศหญิง ตรวจพบในระยะเริ่มแรกได้ยากเพราะอาการจะไม่ปรากฏ คนที่มาพบแพทย์ส่วนใหญ่ก็จะมีอาการที่โรคลุกลามแล้ว อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าระยะใดก็มีหนทางในการดูแลรักษา และ ส่งผลให้มีชีวิตที่ยืนยาวหรือดำรงชีวิตได้ดีขึ้น เมื่อได้รับการวินิจฉัยระยะและมีการรักษาที่ถูกต้อง

 

สาเหตุ :

     อาจะมาจากสิ่งแวดล้อมและอากาศที่ไม่บริสุทธิ์ สูบบุหรี่ ดื่มเหล้ามาก ฯลฯ

 

อาการ :

     บางคนมีอาการไอต่อเนื่องกันหลายอาทิตย์ บางครั้งไอโดยมีโลหิตออกมา บางคนเหนื่อย หอบ แน่นหน้าอก (เนื่องจากน้ำท่วมปอด) เบื่ออาหาร น้ำหนักลด

 

การตรวจวินิจฉัย :

     - การซักประวัติ พฤติกรรมเสี่ยงและประวัติความครัว
     - เอกซเรย์ปอด (ภาพ x-ray) ดูตำแหน่งของก้อนในปอดว่าอยู่หน้าหรือหลัง
     - การส่องกล้องดูหลอดลม (bronchoscopy) วิธีนี้สามารถเข้าไปได้ลึกจนถึงหลอดลมแขนงย่อย ทำให้นอกจากจะเห็นลักษณะของหลอดลมแล้ว ยังสามารถตัดชิ้นเนื้อในหลอดลมและเนื้อปอดนอกหลอดลม (transbronchial biopsy) ไปส่งตรวจ
     - การตัดชิ้นเนื้อบริเวณต่อมน้ำเหลืองไปส่งตรวจทางพยาธิ
     - การทำสแกน (SCAN)
     - การใช้เข็มขนาดเล็กเจาะก้อน
     - การผ่าตัดเปิดทรวงอก
เป็นวิธีสุดท้ายในการวิเคราะห์โรค และเป็นการรักษาไปด้วยถ้าผู้ป่วยเป็นเนื้องอก

 

ลักษะของผู้ป่วยแต่ละราย :

     -มะเร็งปอด (มีต้นตอที่ปอด) กระจายไปในปอด
     -อาจลามไปที่กระดูก
     -น้ำท่วมปอดลามไปเยื่อหัวใจ
     -อาจจะเป็นมะเร็งเต้านม มดลูก ลำไส้ใหญ่ ลามมาปอดก็ได้
     -อาจจะเป็นจุดที่ปอดข้างใดข้างหนึ่ง หรือกระจายไปอีกข้างก็ได้

 

วิธีการรักษาโดยแพทย์แผนปัจจุบัน :

- ผ่าตัด (surgery)
     ถ้าเป็นก้อนเนื้อหรือจุดที่ไม่ใช่ตรงกลางปอด สามารถผ่าตัด (surgery) จนตัดมะเร็งออกได้หมด และปอดที่เหลืออยู่ยังเพียงพอสำหรับการหายใจ ขนาดของปอดที่ตัดออกขึ้นอยู่กับขนาดและตำแหน่งของมะเร็ง ถ้าคุณหมอวินิจฉัยว่าผ่าตัดได้ (โอกาสรอดหรือยืดอายุได้มากกว่าผู้ที่ไม่ตัด)


- รังสีรักษา หรือการฉายแสง (Radiation therapy)
      ใช้ในผู้ป่วยมะเร็งปอดที่ผ่าตัดไม่ได้ และในรายที่ผ่าตัดแล้วแต่ตัดมะเร็งออกไม่หมดหรือคาดว่ามะเร็งจะงอกขึ้นมาอีก การฉายรังสียังมีประโยชน์สำหรับการบรรเทาอาการ เช่น เมื่อมีการอุดกั้นของหลอดเลือดดำใหญ่ มีอาการปวดกระดูกหรืออาการทางสมอง

     ปัจจุบันการฉายรังสีร่วมกับเคมีบำบัด เช่น การฉายรังสีแบบ 3 มิติ, เทคนิคการใช้รังสีรักษาร่วมกับเคมีบำบัด, Fractionation, Radiation modifiers เป็นต้น

- เคมีบำบัด ( Chemotherapy)
     มีบทบาทสำคัญในการรักษามะเร็งปอด ในปัจจุบันนิยมใช้ยาหลายตัวสลับกันเป็นระยะ (cyclical treatment) เพราะได้ผลดีกว่าการใช้ยาตัวเดียว ผลการรักษามักจะดีในผู้ป่วยที่สภาพร่างกายสมบูรณ์ และมีมะเร็งในร่างกายน้อย ยาที่ใช้ขึ้นอยู่กับชนิดของมะเร็ง

*หากน้ำท่วมปอด (อาจจะต้องเจาะน้ำออก) ฝังท่อให้น้ำไหลออกได้


มะเร็งเต้านม

"มะเร็งเต้านม (Breast cancer)"

     เป็นโรคมะเร็งที่มีความสัมพันธ์กับการมีระดับเอสโตรเจนในเลือดสูงเป็นเวลานาน โดยเป็นมะเร็งที่พบได้บ่อยเป็นอันดับที่ 1-2 ของโรคมะเร็งที่พบได้ในผู้หญิง จะเริ่มพบได้ตั้งแต่วัยสาวเป็นต้นไป และจะพบได้มากขึ้นตามอายุ ส่วนมากจะพบในหญิงที่มีอายุมากกว่า 40 ปี ปัจจุบันมะเร็งนมพบได้ในผู้หญิงที่มีอายุน้อย (ก้อนเนื้อที่เต้านมไม่ใช่เป็นมะเร็งทั้งหมด อาจจะเป็นถุงน้ำ หรือเยื่อก็ได้)

 

สาเหตุ :

     - อายุที่มากขึ้น ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่สุดต่อการเป็นมะเร็งเต้านม
     - เคยผ่าตัดก้อนเนื้อที่เต้านม และพบว่าเป็นซีสต์เต้านมชนิดที่เริ่มผิดปกติ (Atypia)
     - พันธุกรรม มีประวัติว่าคนในครอบครัวสายตรงเป็นมะเร็งเต้านมหรือมะเร็งรังไข่ (มารดาหรือพี่น้องท้องเดียวกัน) จะมีโอกาสเกิดโรคมะเร็งเต้านมได้สูงกว่า (ถ้ามีญาติเป็นมะเร็งเต้านมก่อนวัยหมดประจำเดือน ยิ่งมากคนก็ยิ่งมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งเต้านมได้มากขึ้น)
     - มีประวัติการเป็นมะเร็งรังไข่ เนื่องจากมะเร็งรังไข่มีความเกี่ยวข้องกับการสัมผัสฮอร์โมน จึงเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านมได้
     - มีโรคก้อนเนื้อบางชนิดของเต้านม
     - การกลายพันธุ์ของยีน BRCA1 หรือ BRCA2 มีความสัมพันธ์กับการเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านม
     - การเริ่มมีประจำเดือนครั้งแรกตั้งแต่อายุยังน้อย เนื่องจากพบโรคนี้ได้สูงขึ้นในหญิงที่มีประจำเดือนครั้งแรกก่อนอายุ 12 ปี
     - การมีภาวะหมดประจำเดือนช้า หรือหมดประจำเดือนหลังอายุ 55 ปี
     - การใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดตั้งแต่อายุยังน้อยและใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน (เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม ก่อนวัยหมดประจำเดือน)

 

อาการ :

     ในระยะแรกมักมีอาการไม่ชัดเจน ต่อมาผู้ป่วยจะคลำได้ก้อนที่เต้านม (มักเกิดขึ้นเพียงข้างเดียว ส่วนโอกาสที่จะเกิดทั้งสองข้างมีเพียง 5%) ก้อนที่เป็นมะเร็งเต้านมมักจะมีลักษณะแข็งและขรุขระ แต่อาจจะเป็นก้อนเรียบ ๆ ก็ได้ ผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งเต้านมส่วนใหญ่จะไม่มีอาการเจ็บหรือปวด แต่จะมีเพียง 10% ของผู้ป่วยเท่านั้นที่มีอาการปวดเต้านม (ในกรณีที่ก้อนใหญ่ก็สามารถแตกออกมาได้)
ส่วนอาการอื่น ๆ ที่อาจพบได้แก่ หัวนมบุ๋ม (จากเดิมที่ปกติ)



วิธีการตรวจโดยแพทย์แผนปัจจุบัน :

     -การตรวจภาพรังสีเต้านม (Mammogram – แมมโมแกรม)
     -อัลตราซาวด์
*แต่ที่จะให้ผลแน่นอนที่สุดคือ การเจาะ ดูดเซลล์ หรือตัดชิ้นเนื้อไปตรวจ

 

ลักษณะของผู้ป่วยมะเร็งเต้านมแต่ละราย :

     - มะเร็งเต้านมที่ยังไม่ได้รับการรักษา
     - มะเร็งเต้านมผ่าตัดแล้วงอกใหม่ที่เดิม
     - มะเร็งเต้านมผ่าตัดแล้วงอกใหม่ที่เดิมแล้วลามไปอีกข้างหนึ่ง
     - มะเร็งเต้านมผ่าตัดแล้ว รับยาเคมีครบคอร์ส แต่มะเร็งก็งอกใหม่
     - มะเร็งเต้านมผ่าตัดแล้ว ฉายแสงและคีโมแล้ว แต่ก็งอกใหม่
     - มะเร็งเต้านมเน่าจนแตก

 

การกระจายของเซลล์มะเร็งไปยังอวัยวะอื่นๆ :

     - เป็นแผลที่จุดเดิม เล็กๆ
     - เป็นก้อนเนื้อบริเวณไหปลาร้า
     - เป็นก้อนเนื้อบริเวณรักแร้
     - เซลล์มะเร็งได้ลามเข้าปอด ตับ หรือกระดูก (การบ่งบอกถึงมะเร็งระยะลุกลามแล้ว)

 

การรักษาโดยใช้แผนปัจจุบัน :

     - ให้ยาเคมี คีโม
     - ฉายแสง
     - เลาะก้อนเนื้อหรือตัดเต้านม
     - มะเร็งเต้านมที่รักษาด้วย ยา Hercerptin (ยาช่วยให้ลดการเกิดซ้ำของเซลล์มะเร็ง ในกรณีมี ER (ฮอร์โมนเพศหญิง) PR (ฮอร์โมนเพศชาย) Her-2 (ยีนมะเร็งเต้านม) เป็นบวก )

 

ด้วยประสบการณ์ของคุณหมอสมหมาย :

     1. การทานยาสมุนไพร G-HERB ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่รักษาก้อนเนื้อให้ยุบลง (เพราะถูกทดลองมาแล้วว่าสามารถสร้างเซลล์ต่อต้านมะเร็งและควบคุมการกระจายตัวของเซลล์มะเร็งได้)


     2. ถ้าก้อนเนื้อยุบแล้วก็จะพิจารณาว่าควรตัดหรือเลาะเนื้อออกหรือเปล่า ถ้าพิจารณาแล้วว่ามะเร็งกระจายไปส่วนอื่นแล้วก็ควรจะตัดทิ้ง เช่น รักแร้ ฯลฯ เพื่อไม่ให้ลามไปส่วนอื่น


      3. จะต้องอัลตราซาวด์ดูอีกครั้งว่ามีก้อนเนื้อร้ายขึ้นใหม่อีกหรือเปล่า ถ้ามีควรจะทาน G-HERB ให้ก้อนเนื้อยุบเสียก่อน ในบางกรณีอาจจะไม่ต้องตัดเต้านมทิ้งก็ได้

***สิ่งที่คุณหมอสมหมายค้นพบ คือ การรักษาแบบแผนปัจจุบันควบคู่กับการทาน จีเฮิร์บ วิธีนี้ทำให้ผู้ป่วยหลายต่อหลายรายสามารถมีชีวิตรอดมาได้ 

(ผลการรักษาขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล)


มะเร็งตับในถุงน้ำดี

     มะเร็งถุงน้ำ เกิดจากเซลล์ของถุงน้ำดี หรือท่อน้ำดีกลายเป็นมะเร็ง ถุงน้ำดี มีหน้าที่เก็บน้ำดีและทำให้น้ำดีมีความเข้มข้นขึ้น น้ำดีนี้สร้างที่ตับและมาเก็บกักที่ถุงน้ำดี หน้าที่ของน้ำดีจะทำการสลายหรือย่อยไขมันในลำไส้พบได้มากในผู้ป่วยที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป

สาเหตุ :

     - นิ่วในถุงน้ำดีและการอักเสบ
     - เป็นก้อนเนื้อหรือซีสที่อาจก่อให้เกิดมะเร็งท่อน้ำดีในอนาคต
     - ประวัติครอบครัว ผู้ป่วยที่ประวัติครอบครัวโดยเฉพาะพี่น้อง หรือพ่อแม่จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งถุงน้ำดี

 

อาการ :

     ผู้ป่วยมะเร็งถุงน้ำดีในระยะแรกเริ่มจะจะไม่มีอาการโดยมากจะทราบเพราะการผ่าตัดอย่างอื่นและพบโดยบังเอิญ ส่วนใหญ่ของผู้ป่วยมะเร็งถุงน้ำดีจะมาในระยะสุดท้ายของโรค อาการที่สำคัญได้แก่ ไข้เจ็บชายโครงขวา บางรายอาจจะมีอาการดีซ่าน ตัวเหลืองตาเหลือง ท้องอืด น้ำหนักลด

 

การตรวจวินิจฉัย :

     - เครื่อง Ultrasound โดยใช้คลื่นเสียงตรวจทำใ้เกิดเสียงสะท้อนกลับมา หากมีเงาผิดปกติจะทำให้สงสัยว่าเป็นมะเร็งถุงน้ำดี 


    - การตรวจ computer ช่องท้อง การตรวจนี้ใช้เวลา 10-30 นาทีก็จะได้คำตอบ


     - การตรวจโดยใช้คลื่นแม่เหล็ก MRI (magnetic resonance imaging) scan ใช้เวลาตรวจประมาณ 1 ชั่วโมงและเสียงดังในระหว่างการตรวจ


     - การตรวจโดยการส่องกล้อง ERCP (endoscopic retrograde cholangio-pancreatography) วิธีการส่องกล้องแล้วสวนดีเข้าในทางเดินน้ำดี ซึ่งจะทำให้เห็นถุงน้ำดีและทางเดินน้ำดี


     - การฉีดสีเข้าเส้นเลือด Angiogram เนื่องจากถุงน้ำดีอยู่ใกล้อวัยวะเช่นหลอดเลือดจึงต้องฉีดสีเพื่อดูว่ามะเร็งมีการแพร่กระจายไปยังอวัยวะใกล้เคียง


     - การเจาะหน้าท้องเพื่อส่องกล้องเข้าไปดู Laparoscopy วิธีการนี้แพทย์จะเห็นอวัยวะภายในและถุงน้ำดี

 

ลักษณะของผู้ป่วยแต่ละราย :

     -ท้องโตเพราะมีน้ำในช่องท้อง
     -ท่อน้ำดีอุดตันทำให้ตาเหลือง

 

วิธีการรักษาโดยแพทย์แผนปัจจุบัน :

     - หากผู้ป่วยสุขภาพดีและโรคเป็นในระยะแรกเริ่มการผ่าตัดจะเป็นการรักษาหลัก
     - การให้รังสีรักษามะเร็งถุงน้ำดี
     - โดยการใช้รังสีที่มีพลังงานสูงทำลายเซลล์มะเร็งการใช้เคมีบำบัด
     - หากเซลล์มะเร็งอุดกลั้นทางเดินน้ำดีแพทย์อาจจะใส่หลอดหรือที่เรียกว่า stent เพื่อระบายน้ำดี


การรับประทาน จีเฮิร์บ 

     เบื้องต้นจะช่วยบรรเทาอาการปวดบริเวณช่องท้อง ควบคุมขนาดก้อนเนื้อ และหยุดการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง จึงทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดี และสร้างภูมิคุ้มกันให้ผู้ป่วยแข็งแรงยิ่งขึ้น

*** ดังนั้น การรักษาที่ดีที่สุด คือ ถ้ามีอาการจุกเสียด แน่นท้อง เบื่ออาหาร ให้สันนิษฐานว่าเป็น "มะเร็งตับ" เสียก่อน แล้วให้รีบไปหาหมอเพื่อทำการเอกซเรย์หรืออัลตราซาวด์ช่องท้อง (การทำอัลตราซาวด์สามารถตรวจอวัยวะได้ถึง 6 อวัยวะ เช่น ตับ ท่อน้ำดี ถุงน้ำดี ตับอ่อน ไต ม้าม ) 

(ผลการรักษาขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล)

10 สัญญาณเตือนภัยมะเร็งที่ไม่ควรมองข้าม

     ปัจจุบันโรคมะเร็งเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของผู้หญิงไทย 10 สัญญาณเตือนต่อไปนี้ คุณแม่ไม่ควรมองข้าม เพราะอาจเป็นอาการบ่งบอกว่ากำลังเผชิญหน้ากับโรคมะเร็งอยู่หรือไม่

1. เลือดออกผิดปกติ

     ก้อนมะเร็งส่วนใหญ่จะมีเส้นเลือดมาหล่อเลี้ยงมากกว่าอวัยวะปกติ เส้นเลือดเหล่านี้ไม่แข็งแรงและแตกง่าย ทำให้มีเลือดออกได้ง่ายกว่าปกติ ดังนั้นหาก...

เลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด เช่น เลือดออกระหว่างรอบเดือน เลือดออกหลังจากมีเพศสัมพันธ์ หรือมีเลือดประเดือนมากหรือนานกว่าปกติ ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุ เพราะอาจเป็นสัญญาณเตือนภัยของมะเร็งปากมดลูก ซึ่งพบมาในผู้หญิงไทย

เลือดที่ออกปนมากับอุจจาระ อาจจะเป็นอาการของโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ก็ได้ ไม่จำเป็นว่าอกจากโรคริดสีดวงทวารเสมอไป

เลือดที่ออกมาในปัสสาวะ อาจจะไม่ได้เกิดจากการเป็นนิ่ว แต่อาจเป็นสัญญาณเตือนภัยมะเร็งกระเพาะปัสสาวะและมะเร็งของไต

อาการไอเรื้อรังเกิน 3-4 สัปดาห์ ไอมีเสมหะปนเลือด หรือไอเป็นเลือด อาจเป็นอาการของมะเร็งปอดได้เช่นกัน
การมีเลือดออกเพียงครั้งสองครั้งจากอวัยวะต่างๆ อาจจะไม่ได้มีอะไรผิดปกติ แต่ถ้าเป็นหลายครั้งหรือเป็นอยู่นาน อย่าได้นิ่งนอนใจ ควรจะรีบมาพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุ

2. เต้านมเปลี่ยนแปลง

     ส่วนใหญ่ผู้หญิงจะคุ้นเคยกับเต้านมของตนเองดี ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ตรวจเองอย่างสม่ำเสมอ การเปลี่ยนแปลงที่อาจจะเป็นสัญญาณเตือนของมะเร็งเต้านม ได้แก่ ผิวเต้านมเป็นผื่นแดงหรือนูนหนากว่าปกติหลายสัปดาห์ มีเลือด น้ำเหลืองหรือของเหลวผิดปกติออกมาจากหัวนม และหัวนมที่เคยยื่นออกมาถูกดึงรั้งหรือหดตัวเข้าไปในเต้านม ถ้ามีอาการดังกล่าวควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจเต้านมอย่างละเอียด

3. ลำไส้แปรปรวน

     อาการผิดปกติในระบบทางเดินอาหาร บางอย่างอาจเป็นสัญญาณเตือนภัยมะเร็งในอวัยวะของระบบทางเดินอาหาร เช่น อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ อืดแน่นท้องเหมือนอาหารไม่ย่อยที่หาสาเหตุไม่ได้ กินยาลดกรดแล้วอาการก็ไม่ทุเลา อาจจะเป็นอาการของมะเร็งกระเพาะอาหารและมะเร็งรังไข่ ซึ่งอาจจะมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ปวดท้องเรื้อรัง รู้สึกอิ่มเร็ว หรืออืดแน่นท้องเร็วทั้ง ๆ ที่กินอาหารไม่มาก ควรรีบมาพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุ

4. ผิวหนังเปลี่ยนแปลง

     ไฝและขี้แมลงวันที่มีขนาดโตขึ้น สีคล้ำดำขึ้นหรือมีเลือดออก อาจเป็นสัญญาณเตือนภัยมะเร็งผิวหนัง

5. กลืนอาหารลำบาก

     ทั้ง ๆ ที่เปลี่ยนมากินอาหารเหลวหรือซุปต่างๆ แล้ว อาจเป็นอาการแสดงของมะเร็งในหลอดอาหาร

6. ช่องปากมีฝ้า

     ผู้หญิงที่สูบบุหรี่ควรหมั่นสังเกต ถ้ามีฝ้าขาวภายในช่องปาก มีจุดขาวๆ หรือตุ่มเนื้อสีขาวบนลิ้น อาจเป็นความผิดปกติในระยะก่อนมะเร็งช่องปากที่เรียกว่า "Leukoplakia"

7. น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ

     ผู้หญิงบางคนอาจจะดีใจที่อยู่ ๆ ก็ผอมลง ถ้าน้ำหนักลดลงมากกว่า 5 กิโลกรัมต่อเดือนโดยไม่ทราบสาเหตุ อาจเป็นสัญญาณเตือนภัยมะเร็ง แต่อย่างไรก็ตาม อาจจะเกิดจากภาวะอื่นที่ไม่ใช่มะเร็งก็ได้

8. ต่อมน้ำเหลืองโต

     ถ้าต่อมน้ำเหลืองบริเวณรักแร้ ลำคอหรือบริเวณอื่นๆ โตขึ้นนานกว่า 1 เดือน หรือโตขึ้นเรื่อย ๆ ไม่มีแนวโน้มว่าจะเล็กลง อาจเป็นสัญญาณเตือนภัยของมะเร็งต่อมน้ำเหลือง หรือมะเร็งของอวัยวะใกล้เคียง ที่แพร่กระจายมาที่ต่อมน้ำเหลือง ควรรีบมาพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุต่อมน้ำเหลืองโต ซึ่งอาจเกิดจากการติดเชื้อก็ได้ แต่ถ้าหาสาเหตุไม่เจอ แพทย์อาจจะทำการตัดชิ้นเนื้อต่อมน้ำเหลืองไปตรวจเพิ่มเติม

9. มีไข้ไม่ทราบสาเหตุ

     การมีไข้เรื้อรังโดยไม่ได้เป็นหวัดหรือติดเชื้อใด ๆ อาจเป็นสัญญาณเตือนภัยมะเร็งได้เช่นกัน การมีไข้มักเกิดจากมะเร็งแพร่กระจายออกไปจากอวัยวะที่เป็นมะเร็ง และอาจเป็นอาการหนึ่งของมะเร็งเม็ดเลือดขาวและมะเร็งต่อมน้ำเหลืองได้

10. อ่อนเพลียนาน ๆ

     อาการอ่อนเพลียโดยไม่ทราบสาเหตุชัดเจน ถือเป็นสัญญาณเตือนภัยอย่างหนึ่งของมะเร็งเช่นกันโดยอาจเป็นอาการเริ่มแรกของมะเร็งเม็ดเลือดขาวหรือโรคลิวคีเมีย และอาจเป็นอาการของมะเร็งที่ลุกลามมากแล้ว เช่น มะเร็งกระเพาะอาหาร และมะเร็งลำไส้ใหญ่บางชนิด

 

     "มะเร็ง" เป็นโรคที่สามารถรักษาให้หายขาดได้ถ้าตรวจพบตั้งแต่เริ่มแรก อย่าละเลยสัญญาณเตือนภัยมะเร็งทั้ง 10 ประการนะครับ ถ้าร่างกายเริ่มส่งสัญญาณเตือนดังกล่าวแล้ว ควรรีบมาพบแพทย์ เพื่อตรวจหาสาเหตุ !!!

 

     ดังนั้น การรับประทานสมุนไพร จีเฮิร์บ ของคุณหมอสมหมาย เพื่อเป็นตัวช่วยสำคัญในการรักษาระบบน้ำเหลืองให้ทำงานได้ดีอยู่เสมอ ปิดโอกาสการเกิดโรคต่างๆ โดยเฉพาะ โรคมะเร็ง 

การดูแลตัวเองเมื่อป่วยเป็น "โรคมะเร็ง"

     - รับประทานสมุนไพร จีเฮิร์บ ของหมอสมหมาย ทองประเสริฐ อย่างต่อเนื่อง เช้า กลางวัน เย็น มื้อละ 4 – 6 เม็ด

     - ปรับอาหารโดย งดเนื้อสัตว์ทุกชนิด รวมทั้งเนื้อปลาด้วย งดนม งดไข่ งดน้ำมัน งดน้ำตาล (เพราะมะเร็งชอบโปรตีน ไขมัน และน้ำตาล) เน้นรับประทานผักและผลไม้ที่มีฤทธิ์เย็น เนื่องจากคนที่เป็นมะเร็ง ภายในร่างกายจะร้อน จึงต้องรับประทานอาหารฤทธิ์เย็น

          - ผักฤทธิ์เย็นได้แก่ ผักกวางตุ้ง ผักกาดขาว ผักบุ้ง ผักตำลึง 
ผักปรัง ผักหวาน ยอดฟักทอง ยอดฟักแม้ว ฟัก ฟักทองอ่อน ข้าวโพด ถั่วลันเตา ถั่วแขก ผักโขม บล็อกโคลี่ ดอกกะหล่ำ หน่อไม้น้ำ (แอสพารากัส) มะเขือยาว มะเขือเปราะ ผักกาดหอม เห็ดฟาง เห็ดนางฟ้า ดอกแค ยอดแค ปลีกล้วย มะรุม มะเขือเทศ ผักสลัด เป็นต้น (สำหรับผักคะน้า กะหล่ำปลี ผักโขม ถั่วฝักยาว หรือผักที่มีกลิ่นฉุน จะมีฤทธิ์ร้อน ควรงดหรือลดไว้ก่อน)

          - ผลไม้ฤทธิ์เย็น ได้แก่ แคนตาลู้ป แอปเปิ้ล ชมพู่ ส้มโอ แตงโม สับปะรด กล้วยน้ำว้าห่ามๆ มะละกอห่ามๆ แก้วมังกร มังคุด มะม่วงดิบ ส้มเช้ง เป็นต้น (ทุเรียน ลิ้นจี่ ลำไย ขนุน ฝรั่ง กล้วยหอม กล้วยไข่ มะม่วงสุก กล้วยน้ำว้าสุก มะละกอสุก เป็นผลไม้ฤทธิ์ร้อน ควรงด)

สำคัญที่สุด!!

ก่อนรับประทานอาหารทุกมื้อ ต้องเริ่มที่น้ำปั่นผัก ผลไม้ ผักสดก่อนเสมอ จึงตามด้วยอาหารหลัก

ระหว่างมื้ออาหาร หรืออาหารว่าง ให้รับประทานผลไม้ หรือน้ำปั่นผัก หรือน้ำเต้าหู้ เป็นต้น

     - สวดมนต์ นั่งสมาธิทุกเช้าและก่อนนอน ต้องไม่เครียด ไม่กังวล ไม่กลัวความตาย ทำใจให้สบาย สงบ หากจิตใจสงบ สบายแล้ว ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันโรคได้มากขึ้น

     - ออกกำลังกายโดยเดินเร็ว 2 กิโลเมตร หรือแกว่งแขน
วันละ 300 – 400 ครั้ง

     - หายใจเข้าปอดลึกๆ นิ่งไว้ นับในใจ 1 ถึง 4..... ผ่อนลมหายใจออกทางปากช้าๆ ช่วงฝึกหายใจให้หลับตาเพื่อทำสมาธิไปในตัว ฝึกหายใจเช่นนี้วันละ 2 - 3 ครั้ง ครั้งละ 30 รอบ (หายใจเข้าและออก นับเป็น 1 รอบ) เพื่อให้อ๊อกซิเจนเข้าสู่ร่างกายให้มาก (มะเร็งไม่ชอบอ๊อกซิเจน)

หลังจากปฎิบัติตัวเช่นนี้ประมาณ 5 เดือน ไปทำ MRI ที่ตับ แล้วตรวจค่าเลือด CEA เพื่อดูค่ามะเร็งที่ลดลง (คนปกติมีค่า CEA ไม่เกิน 5)

 

หมายเหตุ !!!
     - งดของหมัก ของดอง อาหารทะเล เนื้อสัตว์ นม ไข่ อาหารที่ใส่สารปรุงแต่ง หรือใส่สารกันบูด เพราะสารเหล่านี้จะลดภูมิคุ้มกันของร่างกายลง
     - อาหารแต่ละมื้อ ควรเป็นผักและผลไม้ ให้เท่ากับหรือมากกว่าข้าว
     - ผลไม้ที่มีรสหวานมาก ให้รับประทานแต่น้อย