คุณหมอสมหมาย ทองประเสริฐ หมอเทวดาผู้พิชิตโรคมะเร็งด้วย “ยาสมุนไพร” เรื่องราวของคุณหมอวัย 92 ปี ผู้นี้ กลายเป็นที่กล่าวขานกันอย่างกว้างขวาง ที่ถึงแม้ว่าคุณหมอจะเกษียณอายุไปนานแล้ว แต่คุณหมอก็สละเวลาเพื่อที่จะรักษาผู้ป่วย เพียงเพื่อแค่อยากจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดจากโรคมะเร็ง และช่วยคลายกังวลให้เขามีกำลังใจที่จะสู้กับโรคร้ายและสามารถดำเนินชีวิตต่อ ไปอีกครั้ง และในรายการทูไนท์โชว์ (9 กรกฎาคม) ก็ได้สัมภาษณ์คุณหมอสมหมายอีกครั้งหนึ่ง ถึงความภาคภูมิใจที่คุณหมอสมหมายได้รับรางวัลพระราชทานบุคคลดีเด่นแห่งชาติ สาขาพัฒนาสังคม โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามมกุฎราชกุมารี
คุณหมอสมหมาย กล่าวถึงการรักษาโรคมะเร็งว่า… การรักษาของตนนั้น ไม่ใช่ว่าจะรักษาหายขาด เพียงแค่อาจจะช่วยชะลอเพื่อให้อยู่ได้นานกว่าเดิม เพราะจะรักษาให้หายขาดนั้นมันพูดยาก ส่วนเคสที่เข้ามารักษาบางคนก็หน้าเป็นแผลพุพอง ปากเบิน มาแล้ว แต่พอได้รับการรักษาก็ดีขึ้น แผลที่เป็นก็ค่อย ๆ ดีขึ้น และยุบลง เมื่อถามว่า ทำไมคุณหมอจากที่เป็นแพทย์แผนปัจจุบัน ถึงหันมาสนใจแพทย์แผนไทย หรือยาสมุนไพร เกี่ยวกับเรื่องนี้ คุณหมอกล่าวว่า จากการเป็นหมอแผนปัจจุบันที่ผ่านมา สมัยก่อนยังไม่มีเคมีบำบัด มีเพียงการผ่าตัดและฉายรังสีเท่านั้น ซึ่งก็เห็นว่าเมื่อผู้ป่วยมะเร็งเข้าผ่าตัด ส่วนมากก็จะอยู่ได้ไม่นาน ทั้งนี้ ตอนสมัยที่เรียนตนเคยใช้สมุนไพรทดลองในหนู ในกระต่าย และตนก็คิดว่า สมุนไพรไทยนั้นมีคุณประโยชน์อย่างมากมาย น่าจะดีถ้าได้ศึกษาจริงจัง เพื่อนำมารักษาคนไข้ที่เป็นมะเร็ง แต่ตอนนั้นก็ต้องทิ้งเรื่องนี้ไป เพราะมาต้องเป็นแพทย์ประจำบ้านที่โรงพยาบาลศิริราช
คุณหมอสมหมาย กล่าวต่อว่า จากนั้นเมื่อตนได้เป็นผู้อำนวยการที่โรงพยาบาลสิงห์บุรี เมื่อปี พ.ศ.2498 ในช่วงดังกล่าวก็มีเวลาศึกษาว่าสมุนไพรไหนที่มีสรรพคุณดี ๆ ที่สามารถรักษาโรคมะเร็งได้ จนกระทั่งได้รักษาคนไข้คนหนึ่งในปี พ.ศ.2508 เขาบอกว่าเขาเป็นมะเร็ง แต่หลักฐานทางการแพทย์ไม่แสดงว่าเขาเป็นมะเร็ง ซึ่งตนสงสัยมากเลยถามเขาว่า เพราะอะไรทำไมหลักฐานถึงไม่แสดง เขาตอบกับตนว่า เขากินยาสมุนไพรชนิดหนึ่ง ทั้งนี้ เมื่อตนได้ฟังดังนั้น ก็เก็บและจำเรื่องนี้เอาไว้ เพราะเป็นเรื่องที่ตนสนใจมาโดยตลอด
จากนั้นในปี พ.ศ.2512 มีคนไข้คนหนึ่ง เป็นคนเมืองสิงห์ แต่ไปทำงานที่กรุงเทพฯ และได้เข้ารักษามะเร็งที่โรงพยาบาลใหญ่แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ โดยเขาเข้ามาพบตนและบอกว่า หมอที่โรงพยาบาลดังกล่าว ให้เขากลับมาตายที่บ้าน… ส่วนอาการของคนไข้รายนี้ถือว่าหนักเอาการเพราะเขาเป็นมะเร็งขั้นหนักแล้ว อ้าปาก หุบปากไม่ได้ ต้องใช้กระโถนรองตลอด เพราะมีน้ำลายไหล และส่งกลิ่นเหม็น อีกทั้งในช่วงใต้คางยังมีก้อนเนื้อโต ๆ อยู่ข้างในอีกด้วย เมื่อตนเห็นดังนั้น ก็เลยนึกถึงยาสมุนไพรของคนไข้มะเร็ง จึงถามว่าอยากลองไหม ถ้าอยากลองเดี๋ยวตนจะไปเอามาให้ ตนจึงติดต่อและไปขอตำรายาสมุนไพรที่ อ.วิเชียรบุรี
คุณหมอสมหมาย กล่าวต่อว่า เมื่อไปถึง เจ้าของยาให้สมุนไพรสำหรับต้มยา 4 หม้อ หม้อหนึ่งกินได้ 15 วัน โดยให้ต้มตั้งแต่เต็มหม้อจนเหลือก้นหม้อ เพราะคนไข้รายนี้ต้องหยอดยา เนื่องจากอ้าปากไม่ได้ ทั้งนี้ กระบวนการการต้มยา ตนขอทำเองหมด เพราะอยากจะศึกษาไปด้วย ซึ่งตนก็ต้มตั้งแต่เต็มหม้อจนยาเหลือเพียงครึ่งถ้วยเท่านั้น และหยดใส่ปากของคนไข้จนหมดถ้วย โดยกำชับว่าห้ามกินยาแผนปัจจุบันใด ๆ ทั้งหมด อย่างไรก็ดี เมื่อหยอดไปเรื่อย ๆ อาการของคนไข้ก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ ตามลำดับ ปากอ้าได้ พูดคุยได้ น้ำลายไม่หก เหลือเพียงแต่ก้อนเล็ก ๆ ที่ใต้คาง ซึ่งตนบอกให้เขาไปผ่าตัด แต่คนไข้เขาเป็นคนจีน จึงมีความเชื่อว่า ถ้าเป็นมะเร็งห้ามผ่าตัด เพราะจะทำให้ตาย ตนเลยตามใจ แต่หลังจากนั้นประมาณ 8 เดือน คนไข้คนนี้ก็เสียชีวิต
อย่างไรก็ตาม หลังจากเคสดังกล่าว ก็ทำให้เห็นว่า ยาสมุนไพรนั้นน่าสนใจมาก ๆ จึงเดินทางไปขออีก เพื่อจะนำมารักษาคนไข้ถึงที่บ้านเขาเลย โดยคุณตาคนนี้มีชื่อว่า “คุณตาฉ่ำ วงศ์เกษมรัตน์” ตนต้องบอกเลยว่า สุขภาพเขาแข็งแรงดีมาก ตอนที่เขาอายุ 100 ปี ยังอ่านหนังสือได้โดยไม่ต้องใส่แว่นเลยทีเดียว และเมื่อไปถึงบ้านภรรยาของคุณตาก็บอกว่า คุณตาวัน ๆ เอาแต่ต้มยา และนี่ก็กำลังจะต้มยาอายุวัฒนะ ตนจึงขอจดตำราดังกล่าวเก็บไว้ด้วย
หลังจากนั้น การรักษาด้วยยาสมุนไพรก็ค่อย ๆ กลายเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย ไม่ว่าชาวไทย หรือชาวต่างชาติ ต่างก็มาขอให้รักษากันมากมายไปหมด ส่วนคนไข้ที่มาจากต่างประเทศนั้น ส่วนมากเขารู้จักตนทางอินเทอร์เน็ต อย่างเช่นผู้ชายคนหนึ่งขาเหวอะเนื่องจากเป็นมะเร็ง และจะต้องถูกหมอตัดขา จึงเดินทางมาหาตนที่ประเทศไทย แต่เมื่อตนดูจากสภาพแผลแล้ว ตนเห็นว่ายังไม่ต้องผ่าตัดก็ได้ แต่แผลนี้มันจะไม่สามารถรักษาหายขาด ทำได้เพียงให้มันยุบลงไปเท่านั้น ซึ่งผลการรักษาก็เป็นที่น่าพอใจ คนไข้แผลยุบลง และไม่ต้องตัดขา
ส่วนทางด้าน นายอัศวิน ทองประเสริฐ ลูกชายของคุณหมอสมหมาย ซึ่งเป็นผู้จัดการคลินิก “นายแพทย์สมหมาย” ถนนสิงห์บุรี-อ่างทอง อ.เมือง จ.อ่างทอง ได้เล่าว่า คลินิกแห่งนี้เปิดรับการรักษาเวลา 6 โมงเช้า แต่ประตูคลินิกจะเปิดตี 5 กว่า ๆ เนื่องจากผู้ป่วยใหม่จะได้ทำประวัติและสอบถามอาการไปด้วยว่า เป็นมะเร็งชนิดไหน รักษาโรงพยาบาลใด และทำการรักษาอะไรมาบ้างแล้ว พร้อมกับดูใบประกอบการรักษา ส่วนผู้ป่วยบางราย ที่ไม่สามารถช่วยตัวเองได้ คุณหมอสมหมาย ก็จะเดินไปหา และไปตรวจถึงที่
นายอัศวิน เล่าต่อว่า สำหรับคนไข้ที่มารักษานั้น ในผู้หญิงส่วนมากจะป่วยเป็นมะเร็งเต้านม ส่วนผู้ชายจะป่วยเป็นมะเร็งตับ โดยคุณหมอสมหมายจะทำการรักษาเดือนละ 1 ครั้ง เมื่อครบ 1 เดือนก็จะนัดมาดูอาการอีกที ส่วนคลินิกแห่งนี้ จะปิดในวันพฤหัสบดี และวันศุกร์ และปิดก็ต่อเมื่อรักษาคนไข้คนสุดท้ายเสร็จ บางครั้งก็รักษาเสร็จ 5 ทุ่มบ้างก็มี
“คุณพ่อท่านรักในวิชาชีพเป็นอย่างมาก สมมติว่าวันหยุดคลินิกเราต้องเตรียมตัวไปเที่ยวกัน แต่เมื่อเปิดประตูบ้านมีคนไข้รออยู่ ทริปนั้นก็จะล่มลงทันที (ยิ้ม) … ตอนนี้คุณพ่อก็อายุ 92 แล้ว แต่ก็ยังรักษามะเร็งอยู่ทุกวัน โดยไม่คำนึงถึงความเจ็บป่วยใด ๆ เลย และหากท่านใดที่หมดกำลังใจ ท่านก็จะให้กำลังใจ ท่านเป็นตัวอย่างที่ดีที่สอนผมในทุก ๆ เรื่อง และเป็นตัวอย่างที่ดีของผู้สูงอายุทั่วไปที่สุขภาพแข็งแรง ไม่เจ็บไม่ป่วย ท่านเป็นคุณหมอที่มีจรรยาบรรณ พร้อมรักษาทุกคน ที่ผ่านมาผมรู้ว่าท่านเหนื่อย แต่ความสุขของท่าน ก็คือการที่รักษาคนไข้ได้สำเร็จ แค่เพียงท่านได้ยินว่า หนูหายแล้วค่ะ หนูดีขึ้นแล้วค่ะ ท่านก็จะยิ้มทุกครั้ง และนี่ก็เป็นความสุขของท่าน” คุณอัศวิน ลูกชาย กล่าว
คุณหมอสมหมาย กล่าวถึงวิชาชีพนี้ว่า แต่ก่อนตอนที่ตนเรียนเภสัช ก็รู้สึกเฉย ๆ แต่เมื่อมาเป็นหมอแล้ว ตนก็คิดว่าต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุดเท่านั้นเอง มีคนถามมามากมายว่าอายุเท่านี้แล้ว ยังรักษาคนอีกหรอ ทำไมไม่ไปพัก ซึ่งตนก็ตอบเขาไปว่า ในเมื่อมีคนมาให้ตนรักษาจะให้ไล่เขากลับไปหรืออย่างไร แล้วอีกอย่างตนก็มีวันหยุดถึง 2 วัน (ด้านลูกชายแซวว่า พอถึงวันหยุดทีไรก็จะหงุดหงิดอยากให้ถึงวันเสาร์เร็ว ๆ) เมื่อนายแพทย์สมหมายได้ยินดังนั้น ก็หัวเราะและบอกว่า คลินิกปิดมันเงี๊ยบ เงียบ
คุณหมอสมหมาย ยังกล่าวต่อว่า ที่ตนยังรักในอาชีพนี้อยู่ นั้นก็เพราะตนดีใจทุกครั้งที่ตนสามารถช่วยคนอื่น บรรเทาทุกข์ที่หนักให้มันเบาบางลงได้ ส่วนคุณตาที่ให้ยาตนมานั้น ตอนนี้เสียชีวิตไปแล้ว ด้วยวัย 102 ปี แต่ไม่ได้เสียชีวิตเพราะเป็นโรค หรือแก่ตายแต่อย่างใด แต่คุณตาเสียชีวิตเพราะถูกรถชน ถ้าหากรถไม่ชนก็อาจจะมีชีวิตอยู่ได้นานกว่านี้ก็ได้ (หัวเราะ) สำหรับยาอายุวัฒนะที่คุณตาให้สูตรมานั้น ซึ่งเป็นสูตรสมุนไพรทั้ง 10 ชนิด เรียกว่า พญาทั้งสิบ ตนย้ายบ้านเลยทำหายไปแล้ว
ท้ายนี้ คุณหมอสมหมาย ได้กล่าวฝากไปยังผู้ป่วยโรคมะเร็งทุกคนว่า มะเร็งหากจะนิยามนั้น คงแบ่งได้เป็น 3 แบบ อันแรกก็คือ มะเร็งเหมือนขโมย คือจะมาในจังหวะที่เราไม่รู้ตัว จู่ ๆ ก็ตรวจพบแบบไม่มีอาการหรือสาเหตุใด อันที่สองคือ มะเร็ง คือ วายร้ายที่ร้ายยิ่งกว่าร้าย ถึงแม้ว่าหมอจะพยายามตามจับอย่างไร แต่มะเร็งก็จะซึมผ่านเข้ากระแสเลือดกระจายหนีไปได้อย่างรวดเร็วทุกที อันสุดท้ายก็คือ มะเร็ง คือ ขี้ผง ที่กระจายอยู่ทั่วร่างกาย และรักษาอย่างไรก็ไม่มีวันหมด บางคนเป็นแล้วตรวจไม่พบ แต่อีก 10 ปี ให้หลังมันงอกกลับมาใหม่นั้นก็มี เพราะฉะนั้น ตนไม่อยากให้ผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งต้องคิดมาก ทำใจและยอมรับ ใช้หลัก “อุเบกขา” ในการดำรงชีวิต วางเฉยในทุก ๆ เรื่อง เพราะทุก ๆ เรื่อง มันต้อง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
อย่างไรก็ตาม ยาสมุนไพรของนายแพทย์สมหมาย ขณะนี้ได้ขึ้นทะเบียน อย.ในประเทศไทย ในทะเบียนยาสมุนไพร สรรพคุณ แก้น้ำเหลืองเสีย ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจ และเป็นเรื่องที่น่ายินดีสำหรับประเทศที่ยังมีคุณหมอที่อุทิศชีวิตให้กับคนไข้เสมอมา โดยนายแพทย์สมหมายกล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า… เขาจะรักษาต่อไป จนกว่าเขาจะรักษาไม่ไหว
โรคมะเร็ง ภัยร้ายที่คุกคามทั้งร่างกายและจิตใจของผู้ป่วย แม้ว่าโรคมะเร็งจะเกิดขึ้นบนโลกนี้มาหลายปี แต่ก็ยังไม่มีหนทางใด ที่จะรักษาโรคร้ายนี้ได้หายขาด ท่ามกลางความท้อแท้ใจของผู้ป่วยโรคมะเร็ง .. แต่ผู้ป่วยโรคมะเร็งหลายคนที่ได้ยินชื่อของ นพ.สมหมาย ทองประเสริฐ ที่ถูกบอกกล่าวให้รู้จักกันไปปากต่อปากก็มีความหวังกลับมาสู้ชีวิตและโรค ร้ายได้อีกครั้ง
นายแพทย์สมหมาย ทองประเสริฐ เกิดเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2464 ปัจจุบันอายุ 90 ปีแล้ว คุณพ่อคุณแม่มีบุตรธิดารวม 7 คน โดยผมเป็นคนที่ 5 คุณพ่อคือนายกิมซิด คุณแม่นางพิมเสน ทองประเสริฐ พี่ชายคนโตของผม ชื่อศาสตราจารย์พันตรีนายแพทย์ประจักษ์ ทองประเสริฐ เป็นอดีตผู้อำนวยการโรงพยาบาลศิริราช พี่ชายคนที่สองชื่อนายหงวน ทองประสริฐ เป็นลูกศิษย์ท่านปรีดี พนมยงค์ พี่สาวคนที่สามและที่สี่แต่งงานเป็นแม่บ้าน ส่วนผมซึ่งเป็นบุตรคนที่ห้า เข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ ตั้งแต่เด็ก พ.ศ.2471 ที่โรงเรียนประจำเซนต์ปีเตอร์ ซึ่งอยู่ตรงตึกซิงเกอร์ สี่-พระยาในปัจจุบัน น้องสาวคนที่หกยังมีชีวิตอยู่ส่วนน้องชายคนที่เจ็ดเป็นนายทหาร จบการศึกษาจากโรงเรียนวชิราวุธ ปัจจุบันมีพี่น้องที่ยังมีชีวิตอยู่เพียงสามคน คือพี่สาวคนที่สามอายุ 95 ปี ผมอายุ 90 ปีและน้องสาวอายุ 84 ปีนอกนั้นเสียชีวิตหมดแล้ว
การศึกษา ครอบครัวของผมสนับสนุนการศึกษาเฉพาะผู้ชายส่วนลูกผู้หญิงไม่ส่งเสียให้เล่าเรียน พี่ชายของผมนับว่าได้เป็นชาวสิงห์บุรีคนแรกที่เข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ ได้ทุนของร็อกกี้ เฟลเรอร์ ไปเรียนต่อที่ยอห์นฮอสปิตัส ประเทศอเมริกา ส่วนผมสำเร็จเภสัชศาสตร์บัณฑิตสมัยเด็กศึกษาที่ ร.ร. เซนต์ปีเตอร์ ในปี พ.ศ. 2471 และจบ ม.5 ในปี พ.ศ. 2478 สมัยที่ผมเรียนนั้น การศึกษายังมีระดับชั้น ม. 8 อยู่ ไม่ได้มีเตรียมอุดมศึกษาเหมือนสมัยนี้ หลังจากจบชั้น ม.5 ร.ร. เซนต์ปีเตอร์ ก็มาศึกษาต่อที่ ร.ร. อำนวยศิลป์ ปากครองตลาดจนจบ ม.8 ซึ่งเป็นรุ่นสุดท้าย หลังจากนั้นก็เปลี่ยนเป็นเตรียมอุดมซึ่งคุณชอุ่ม ปัญจพรรค์ เป็นนักเรียนเตรียมอุดมหมายเลข 1
จิตใต้สำนึก “ชีวิตคือ ธรรมชาติ”
อีกประการหนึ่ง ผมมีจิตสำนึกอยู่เสมอว่าในโลกนี้ธรรมชาติทำให้เกิดโลก แล้วธรรมชาติต้องมียาแก้โรคให้ด้วย เช่น การใช้ซิงโคน่า(Cinchona) รักษาโรคมาเลเรีย ใบดิจิตาลีส ( Digitalis) รักษาโรคหัวใจในสัตว์ เช่น แมว สุนัข ไม่สบายก็จะไปเที่ยวหาต้นหญ้ากิน พออาเจียนแล้วก็หาย นั่นคือการรักษาสมดุลทางธรรมชาติ แต่มนุษย์เราโดยเฉพาะการแพทย์ทางตะวันตกไม่ค่อยคิดเรื่องนี้ พยายามค้นคว้าไปทางเคมีเป็นส่วนมาก
ผมเข้าศึกษาต่อที่คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยโดยมีพี่ชายเป็นคนส่งเสียให้เล่าเรียน ผมสำเร็จคณะเภสัชศาสตร์ได้เหรียญทองและเป็นอาจารย์ที่เภสัชศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตามกฎได้ 1 ปี ก็ออกมาศึกษาแพทย์ต่อที่ศิริราช สมัยนั้นหากจะเรียนแพทย์ต้องเรียนที่ศิริราชแห่งเดียวเท่านั้น ที่อื่นยังไม่มีการเรียนการสอน ในคณะเรียนผมก็ใช้ความรู้ทางเภสัชฯ ไปทำงานร้านขายยา เพื่อส่งเสียตัวเองเรียนแพทย์จนกระทั่งผมจบการศึกษาในปี พ.ศ. 2494 ที่จริงแล้ว ผมคุ้นเคยกับโรงพยาบาลศิริราชมาตั้งแต่เด็กเนื่องจากตอนอายุเพียง 7-8 ปี เวลาเปิดเทอมผมก็จะมาอยู่กับพี่ชายที่ศิริราช ส่วนมากจะไปอยู่กับพวกพี่ๆพยาบาล เพราะพี่ชายต้องทำงาน สมัยเมื่อ พ.ศ. 2471 นั้น ศิริราชยังเป็นป่าอยู่เลยมีตึกเพียง 5 ตึก มีโรงกระโจมใช้ผ้าขึงเป็นห้องผ่าตัด
สมัยเมื่อผมเรียนแพทย์ศิริราชอยู่ปี 3 ปี 4 จนกระทั่งสำเร็จการศึกษา และทำงานเป็นแพทย์ประจำบ้านแผนกศัลยกรรมอยู่ที่ศิริราชนั้นผมสนใจเรื่องการศึกษามะเร็งมากเพราะการศึกษาโรคอื่นๆ ทางศัยลกรรมสามารถรักษาให้หายได้ง่าย แต่การรักษามะเร็งนั้นยากมาก ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัดหรือฉายรังสีก็ดี
เนื่องจากผมสำเร็จเภสัชศาสตร์บัณฑิตก่อนมาเรียนแพทย์ ผมจึงมีความคิดว่าน่าจะค้นคว้าหาสมุนไพรมาช่วยในการรักษามะเร็งบ้าง แต่ในขณะนั้นผมเป็นลูกน้องไม่สามารถที่พูดเสนอความคิดได้
เมื่อสำเร็จการศึกษาจากศิริราช แล้วด้วยความที่เป็นคนชอบทดลอง ผมมาอยู่สถานเสาวภา 1 ปี ก็อยากทดลองเรื่องวัคซีนกับเซรุ่มในการรักษาโรคพิษสุนัขบ้า พอครบปีก็กลับมาเป็นศัลยแพทย์ที่ศิริราช เป็นศัลยแพทย์ได้สองปี สมัยนั้นไม่มีตำแหน่งให้ต้องเป็นลูกจ้าง ผมเป็นลูกจ้างรับเงินเดือน เดือนละ 700 บาท ( สมัยนั้นทองบาทละ 60บาท )
หลังจากจบการศึกษาแพทย์
หลังจากจบการศึกษา ผมตั้งใจว่าจะกลับไปอยู่สิงห์บุรีเพราะแม่ของผมอยู่ที่นั้นตามลำพัง แม่ก็อายุมากแล้วไม่มีใครคอยดูแล เนื่องจากพ่อเสียชีวิตตั้งแต่ปี พ.ศ. 2478 ดังนั้นเมื่อผมทำงานที่ศิริราชครบ 2 ปี อีกทั้งตัวเองอยากได้ตำแหน่งประจำเพราะสมัยนั้นหาตำแหน่งประจำอยากเหลือเกิน มีตำแหน่งประจำก็เป็นแผนกกระดูกซึ่งผมไม่ต้องการ
วันหนึ่งขณะผมเดินทางกลับจากศิริราช ผมได้พบกับรุ่นพี่ที่ท่าน้ำ ชื่อหมออุทัย ศรีอรุณ ( ภายหลังได้รับตำแหน่งพลตำรวจโทและเป็นจเรตำรวจ ) เขาถามว่าผมจะไปไหน ผมก็บอกว่าผมจะกลับไปเอาตำแหน่งหมอกระดูกที่ศิริราช เขาจึงออกปากว่าอยากให้ผมไปช่วยที่โรงพยาบาลตำรวจ ถ้าวันนั้นผมกลับไปเป็นหมอกระดูกที่ศิริราช ผมคงเกษียณอายุแค่ 60 ปี ไม่ได้มาเป็นหมอรักษามะเร็งในปัจจุบันนี้
ผู้เริ่มต้นโรงพยาบาลตำรวจ
เมื่อไปถึงโรงพยาบาลตำรวจ ผมจึงได้พบว่าที่นั้นไม่มีความพร้อมอะไรเลย ผมต้องจัดเตรียมบรรดาเครื่องไม้ เครื่องมือ จนสามารถผ่าตัดคนไข้ได้เอง สมัยนั้นโรงพยาบาลตำรวจเป็นเพียงโรงพยาบาลในแผนกตำรวจ ผมทำงานจนกระทั้งได้ติดยศเป็นร้อยตำรวจเอก ก็ได้ทราบข่าวว่าสิงห์บุรี กำลังสร้างโรงพยาบาล ผมจึงบอกหัวหน้าแผนกว่าจะขอย้ายไปโรงพยาบาลสิงห์บุรี หากโรงพยาบาลสิงห์บุรีสร้างเสร็จ หัวหน้าผมไม่อนุญาต ท่านบอกว่า “ลื้อมาอยู่ที่นี่ไม่กี่เดือน สร้างความเจริญให้กับโรงพยาบาลตำรวจ ได้ผ่าตัดได้ ทำอะไรมากมาย ไม่อนุญาตให้ไปหรอก” เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนั้น แต่ความต้องการที่จะอยากกลับไปทำงานที่โรงพยาบาลบ้านเกิดมากกว่าในเดือนธันวาคมของปีนั้นผมจึงเขียนจดหมายลาออกทิ้งไว้แล้วจากไปอยู่ที่สิงห์บุรีโดยไม่ได้ร่ำลาผู้ใด
ค้นพบสมุนไพรรักษามะเร็ง
ในปีพ.ศ. 2498 ผมรับราชการเป็นนายแพทย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสิงห์บุรี ผมได้เป็นหัวหน้าและในขณะเดียวกันผมก็มีความเป็นตัวของตัวเอง ผมได้เริ่มเสาะหายาสมุนไพรที่จะมาช่วยในเรื่องรักษามะเร็ง ขณะนั้นคนกำลังฮือฮาในการใช้ต้นทองพันชั่งรักษามะเร็ง ผมก็ปลูกต้นทองพันชั่งไว้เป็นจำนวนมาก เมื่อมีคนไข้เป็นมาเร็งมารักษา ผมก็ลองใช้ทองพันชั่งต้มให้คนไข้กิน แต่เมื่อมาดูผลการรักษากลับพบว่ามันไม่ได้ผลทุกครั้งที่ผมตรวจคนไข้ OPD ( ผู้ป่วยนอก ) ผมก็พยายามถามถึงเรื่องตำรายาสมุนไพรรักษามะเร็งจากคนไข้และญาติเพื่อทดลอง ใช้แต่ที่ผ่านมาก็ยังไม่ได้ผมสักที
ปกติในวันเสาร์ – อาทิตย์นั้น ยังไม่มีคนไข้มากเท่าอย่างในปัจจุบัน ในปี พ.ศ. 2508 บังเอิญผมขับรถไปเที่ยวป่าในวัน เสาร์ – อาทิตย์ ที่อำเภอวิเชียรบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์ เพื่อเสาะหาปุ่มของต้นไม้ชนิดต่างๆ เพราะชอบสะสมปุ่มไม้
วันหนึ่งผมขับรถไปยังอำเภอวิเชียรบุรี ไปที่บ้านชาวไร่คนหนึ่ง เพราะทราบว่าชาวบ้านคนนี้มีปุ่มไม้ใหญ่ และผมก็ได้พบกับปุ่มไม้จริงๆ พร้อมกันนั้น ผมได้พบกับเจ้าของบ้านนั่งหายใจหอบเหนื่อยอยู่ในบ้านและบังเอิญเป็นผู้ที่ เคยรู้จักกัน ผมจึงได้สอบประวัติได้ความว่ามีอาการไอ เหนื่อยหอบ จึงได้ไปตรวจรักษาที่โรงพยาบาลลพบุรี แพทย์ได้ทำการเอกซเรย์ปอดแล้วบอกว่ามีน้ำท่วมปอด แพทย์เจาะน้ำออกจากปอดและเจาะชิ้นเนื้อเยื้อส่งตรวจที่กรุงเทพฯ ผลการตรวจสรุปออกมาว่าเป็นมะเร็งปอดและน้ำท่วมปอด แพทย์ลพบุรีจะส่งคนไข้ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลศิริราช แต่ผู้ป่วยไม่ยอมไปด้วยเหตุเพราะใกล้ๆบ้านผู้ป่วยมีแพทย์แผนโบราณรักษาโรค มะเร็งด้วยสมุนไพร ผมได้ลองตรวจสอบดูพบว่ามีน้ำท่วมปอดจริง ผู้ป่วยไม่สามารถนอนได้ ต้องใช้การนั่งพิงแทน จากนั้นผมก็ลาคนไข้กลับและไม่ได้สนใจคนไข้คนนี้อีก 8 เดือนต่อมาผมได้กลับมาที่บ้านผู้ป่วยคนเดิม ตอนนั้นคิดว่าผู้ป่วยได้เสียชีวิตแล้ว ตั้งใจจะไปซื้อปุ่มไม้ที่ตั้งอยู่ในบ้านผู้ป่วย จากภรรยาผู้ป่วย แต่แทนที่จะพบผู้ป่วยเสียชีวิต กลับพบว่าผู้ป่วยมีชีวิตอยู่และเดินเหินได้ปกติ
กรณีนี้ทำให้ผมสนใจมากและได้เดินทางไปยังโรงพยาบาลลพบุรี เมื่อพบแพทย์ที่รักษาผู้ป่วยรายนี้และขอดูหลักฐานรายงานและผลเอ็กซเรย์ของ ผู้ป่วยแต่แพทย์หาให้ไม่ได้ ผมจึงคิดว่าผู้ป่วยรายนี้ไม่น่าจะเป็นมะเร็งปอดและแพทย์คงตรวจผิด ผมจึงไม่ได้สนใจยาสมุนไพรตำหรับนี้
ต่อมาปี พ.ศ. 2512 มีพ่อค้าคนหนึ่งที่เคยอยู่ตลาดสิงห์บุรี แล้วได้ย้ายไปทำมาหากินที่กรุงเทพ ได้กลับมาอยู่ที่สิงห์บุรีผมทราบข่าวว่าเขาเป็นมะเร็งและเป็นมากแล้ว จึงเดินทางไปเยี่ยมพบว่าผู้ป่วยผ่ายผอมไปมาก ที่ลิ้นมีแผลเต็มไปหมด มีเลือดซึมตลอด กลิ่นเหม็น หุบปากไม่ได้ มีก้อนน้ำเหลืองใต้คางก้อนโตมากผู้ป่วยต้องใช้อ่างรูปไตรองใต้คาง ถามผู้ป่วยก็ทราบว่าเป็นมะเร็งที่ลิ้น รักษาด้วยวิธีฉายแสงที่โรงพยาบาลรามา แต่อาการไม่ดีขึ้นแพทย์ให้กลับมาอยู่ที่บ้านบอกรักษาไม่ได้ให้ใช้ยาแก้ปวด เท่านั้น
เมื่อผมเห็นเช่นนี้จึงนึกถึงสมุนไพรที่อำเภอวิเชียรบุรีจึงได้แนะนำให้ผู้ ป่วยใช้ยาขนานนี้ดู ผู้ป่วยตอบตกลง ผมจึงไปขอสมุนไพรมาทั้งหมด 4 หม้อ โดยผมเป็นคนต้มยาให้คนไข้เองต้มจนเหลือ 1 ถ้วยแก้ว แล้วให้คนไข้หยดใส่ปากกินให้หมดใน 1 วันหม้อ ต้มกินได้ 15 วัน ผู้ป่วยกินแต่ยาสมุนไพร อาหารน้ำและยาแก้ปวด โดยไม่ใช้ยาอะไรเลย ทว่าอาหารของผู้ป่วยกลับดีวันดีคืน แผลที่ลิ้นค่อยๆยุบลง กลิ่นเหม็นก็น้อยลง ก้อนใต้คางก็ยุบลง น้ำหนักตัวเริ่มเพิ่มขึ้น อาการค่อยๆดีขึ้น และคนไข้เริ่มพูดได้
ผมจึงไปขอยาสมุนไพรมาอีก 4 หม้อ ให้ต้มรับประทานเหมือนเดิม อาการของคนไข้ก็ดีวันดีคืนขึ้นเรื่อยๆ พอครบ 4 เดือนลิ้นยุบลงมากจนแผลหายเหลือก้อนเท่าไข่นกกระทา ติดแน่นตรงใต้คาง ผมก็ไปขอยามาอีก 4 หม้อ ต้มให้กินทุกวันจนครบ 6 เดือนผู้ป่วยมีอาการเหมือนคนปกติ อ้วนขึ้น เดินไปตลาดได้ ผมแนะนำผู้ป่วยว่า ควรไปทำการผ่าตัดก้อนที่คางและแผลที่ลิ้นออกแต่ผู้ป่วยไม่ยอม บอกว่าเมื่อกินยุบแล้ว ขอกินยาต่อไปเรื่อยๆ ผมป่วยมีอาการดีอยู่ 6 เดือนแผลที่ลิ้นก็เริ่มบวมและแตก ในที่สุดผู้ป่วยก็ถึงแก่กรรม เพราะเลือดออกที่ลิ้นมาก
จากการติดตามผู้ป่วยรายนี้ด้วยตนเองทุกวัน จึงเห็นง่ายาสมุนไพรตำรับนี้มีประโยชน์ในการรักษามะเร็ง ผมจึงไปขอสูตรยาตำหรับนี้จากแพทย์แผนโบราณเท่านั้น แต่ท่านไม่ยอมให้เพราะท่านบอกว่าท่านเคยรักษาโรคมะเร็งหายมาหลายรายแล้วแต่ หมอแผลปัจจุบันไม่ยอมรับ
การรักษาได้รับการยอมรับจากสากล
ประมาณเดือนกันยายน – ตุลาคม พ.ศ. 2517 มีเลกเซอร์ทัวร์ ของคณะออโธปิติกส์จากกรุงเทพ ไปประชุมที่นครสวรรค์ ผมเห็นเป็นโอกาสดีที่ได้นำเสนอเรื่องคนไข้มะเร็งที่หัวเข่า จังหวัดตราด ผมจึงไปประชุมด้วย พร้อมทั้งขอรายการเฉพาะคนที่เป็นมะเร็งหัวเข่าในที่ประชุม รวมทั้งแฟ้มของ โรงพยาบาลเลิดสินและของผม พร้อมทั้งขอร้องว่าถ้าพบคนไข้เช่นนี้ กรุณาอย่าตัดขา ให้ส่งให้ผมรักษาจะได้มีผลงานออกมามากๆ แต่ผมก็ไม่เคยได้คนไข้จากโรงพยาบาลเลย
เมื่อผมเห็นว่าทางการแพทย์ของเราไม่สนใจผลงานของผม ผมจึงเขียนจดหมายไปหาดอกเตอร์แชงค์(Shank) ผู้ซึ่งเป็นไดเรกเตอร์ทอกซิโคโลยีของรัฐแคลิฟอเนีย (Director toxi Colifornia) ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2517 บอกว่าผมพบสมุนไพรหนึ่งตำรับ โดยให้คนไข้เป็นมะเร็งกินยาต้มเพียงอย่างเดียว มะเร็งก็สามารถยุบได้ ดอกเตอร์แชงค์ (Shank) ติดต่อผมมาทันที ว่าขอให้เตรียมคนไข้มะเร็งที่กินยาต้มแล้วยุบไว้ให้ดู พร้อมทั้งเอกซเรย์ รายงานและผลชิ้นเนื้อ
ต้นเดือนธันวาคม พ.ศ.2517 ดอกเตอร์แชงค์ (Shank) บินมาหาผมที่สิงห์บุรีพร้อมโปรเซอร์นิวบิ์รน เพื่อนซึ่งเป็นปาโทโลยีสต์(Pathologist) เมื่อผมรายงานคนไข้ที่เตรียมไว้พร้อมชิ้นเนื้อให้ดูดอกเตอร์แชงค์(Shank)ก็ ยอมรับว่ายาต้นตำรับนี้น่าจะเป็นประโยชน์ในการรักษามะเร็ง
ดอกเตอร์แชงค์ขอนำยาต้นตำรับนี้พร้อมตัวยาไปทำการค้นคว้าวิจัยที่อเมริกา แต่ผมไม่ยอม เพราะผมอยากให้เมืองไทย คนไทยมีชื่อเสียงในการค้นคว้ายารักษามะเร็ง เมื่อเป็นเช่นนี้ดอกเตอร์แชงค์ (Shank)ก็ให้ผมเลือกว่าจะทดลองมะเร็งชนิดใด ผมเสนอว่าขอทดลองกับมะเร็งเต้านมเพราะอวัยวะที่อยู่ภายนอกโตและเห็นง่าย
เมื่อดอกเตอร์แชงค์(Shank)กลับไปอเมริกาแล้วก็ได้ส่งคาร์ซิโน เจน(Carsinogen)ชนิดที่ทำให้เกิดมะเร็งเต้านมในหนูนามานาน และผมก็ได้ร่วมทำการทดลองกับอาจารย์ท่านหนึ่งที่มหาวทยาลัยมหิดลโดยผมต้มยา ชนิดที่ข้นจนเกือบเหนียวส่งไปให้ทดลองทุก 7 วัน ผลการทดลองก็มีเค้าให้เห็นว่ายาต้มนี้สามารถทำให้หนูที่เกิดมะเร็งเต้านมยุบ ได้ แต่ทำได้เพียง 3 ปี อาจารย์ท่านนี้ก็ไปเรียนปริญญาเอกต่อที่อเมริกา การทดลองจึงต้องยุติลงในพ.ศ.2520 และอาจารย์ท่านนี้เมื่อกลับมาจากอเมริกาก็ไม่ได้สนใจที่จะทดลองยานี้ต่อ พ.ศ.2518 ผมได้เลื่อนขึ้นเป็นนายแพทย์ใหญ่ คือ นายแพทย์สาธารณสุข ประจำจังหวัดสิงห์บุรีและจะลาออกจากราชการ เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2521 ขณะนี้เป็นข้าราชการบำนาญกระทรวงสาธาณสุข การที่ลาออกก่อนเกษียณอายุราชการเพราะต้องการค้นคว้าและรักษามะเร็งด้วย สมุนไพรเพียงอย่างเดียวโดยไม่ต้องมีภาระกับหน้าที่ราชการ
ขอขอบพระคุณข้อมูลจาก : G-HERB สมุนไพรต้านมะเร็ง